วัด 'เพ็กดัมซา' บนภูเขา 'ซอรักซัน'


เพิ่มเพื่อน    

เจดีย์แห่งความปราถนาแห่งหุบเขา “เพ็กดัม กเยก็อก” ใกล้วัด “เพ็กดัมซา” บนภูเขา “ซอรักซัน” ประเทศเกาหลีใต้

เพราะเคร่งวินัยด้วยการนอนไวเมื่อคืนวาน ทำให้เช้านี้ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่นกว่าวันก่อนๆ เราทำเวลาได้ตามกำหนด ขึ้นรถเมล์ตอน 7 โมงนิดๆ จินนี่บอกว่าต้องนั่ง 2 ต่อไปยังสถานีขนส่ง Dong Seoul Bus Terminal เพื่อให้ทันรถบัสเที่ยว 8 โมงครึ่งไปยังเมืองอินเจ จังหวัดกังวอน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาหลีใต้ มีเพียงเส้นเขตแดนทางทหาร หรือพื้นที่กันชนที่ลากคั่นไว้ระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ

แต่พอลงจากรถเมล์คันแรก จินนี่ก็บอกว่าเธอคำนวณเวลาผิด แล้วก็เรียกแท็กซี่เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่ทันรถบัสเที่ยวดังกล่าว และหากต้องขึ้นรถบัสเที่ยวถัดไปรถที่ออกจากเมืองก็จะเริ่มติดเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด  

เพื่อนชาวเกาหลีของผมสนทนากับลุงคนขับแท็กซี่ไปตลอดทาง เธอบอกว่าที่คุยกันอย่างออกรสเพราะหัวข้อการสนทนาคือเรื่อง “ปัก กึน ฮเย” ต่างคนต่างไม่ชอบประธานาธิบดีที่เพิ่งถูกถอดถอนในเวลานั้น

เรามีเวลาประมาณ 15 นาทีตอนที่ไปถึงสถานีขนส่ง Dong Seoul Bus Terminal จินนี่เดินไปซื้อตั๋ว ส่วนผมเข้ามินิมาร์ทไปซื้อขนมขบเคี้ยว กาแฟร้อน และน้ำดื่ม ทว่าเมื่อรถวิ่งออกจากกรุงโซลที่อยู่ฝั่งตะวันตกของประเทศไปได้ครึ่งทางก่อนจะถึงปลายทางที่อยู่ฝั่งตะวันออก หรือเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง รถก็จอดที่จุดแวะพักให้ผู้โดยสารลงไปเข้าห้องน้ำ ซื้ออาหารว่าง และผ่อนคลายอิริยาบถ

จินนี่ซื้อขนมอบรูปกลมๆ แบนๆ ชิ้นเล็กๆ สอดไส้ถั่วแดงมาหลายชิ้นโดยใส่ถุงกระดาษแบบที่บ้านเราใช้ใส่กล้วยแขก เธอว่าขนมแบบนี้ปัจจุบันหากินในกรุงโซลไม่ได้แล้ว ผมชิมไปสองสามชิ้นก็รู้สึกว่าอร่อยจริง ทั้งแป้งและไส้ จินนี่คงจะคิดถึงขนมนี้มากเพราะเดินกลับไปขึ้นรถผิดคัน  

ทุ่งเจดีย์แห่งความปรารถนาใกล้วัด “เพ็กดัมซา”

ผมเดินตามเธอก็เฉลียวใจอยู่ว่ารถของเราน่าจะเป็นอีกคันที่ล้อกำลังหมุนช้าๆ ออกไป เมื่อแน่ใจว่าผิดคันก็รีบวิ่งกลับไปยังคันของเรา ผมคิดว่าโชเฟอร์น่าจะเห็นเราตอนที่เราเดินผ่านรถไปหมายจะขึ้นอีกคัน เขาจึงชะลอรถไว้ ไม่อยากคิดว่าเราจะโดนทิ้งหรือเปล่าหากช้ากว่านี้

เพียง 2 ชั่วโมงจากกรุงโซล รถบัสก็จอดที่ปากทางขึ้นภูเขาซอรัก (Seorak-san) ผู้โดยสารลงตรงนี้ไม่กี่คน เข้าใจว่าส่วนใหญ่เดินทางไปยังปลายทางที่ซกโจ เมืองชายทะเลตะวันออก ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดกังวอนเช่นเดียวกัน

(ต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่ไม่สามารถบอกระยะทางระหว่างเมืองได้ ทางเกาหลีใต้ไม่ได้ร่วมมือกับกูเกิลในการให้ข้อมูลเรื่องแผนที่และการขับรถเดินทางในประเทศด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย เพราะสงครามเกาหลียังไม่ยุติ)         

ผมกับจินนี่ต้องเดินอีกเกือบ 1 กิโลเมตรกว่าจะถึงจุดขึ้นรถบัสเล็กไปยังวัดเพ็กดัมซา (Baekdam-sa) บนภูเขาซอรัก จินนี่ให้เลือกแบบบังคับว่าจะเดินขึ้นเขาหรือจะเดินลงเขา “เราจะนั่งรถแค่ขาเดียวเท่านั้น ขาไปหรือขากลับ ?”

“ขอเดินขาลงดีกว่า ตั้ง 7 กิโล ถ้าเดินขึ้นคงถึงพรุ่งนี้” ผมตอบอย่างไม่ลังเล แม้จะยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเดิน ทั้งที่ผมยินดีเดินเป็นสิบกิโลเมตรหากว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ และมีเหตุผลจำเป็น

แต่เมื่อเราไม่ได้เดินทางคนเดียวก็ต้องรอมชอม และเข้าใจธรรมชาติความต้องการนำเสนอของเจ้าบ้าน  

อาคารพุทธบูชาของวัดเพ็กดัมซา

รถบัสเล็กพาเราเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติภูเขาซอรัก ไต่ไหล่เขาเลียบลำธารฝั่งซ้ายมือ เลี้ยวไปเลี้ยวมาจนถึงจุดจอดรถของวัด มีสะพานหิน “ซูซิมเกียว” ข้ามหุบเขาที่เป็นลำธารน้ำเกือบแห้งไปยังตัววัดเพ็กดัมซา ด้านล่างคือทุ่งของเจดีย์ก้อนหิน มีคนเอาหินก้อนมนๆ บ้างกลมบ้างแบนมาเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ ก้อนใหญ่อาจจะอยู่บนก้อนเล็กแล้วก้อนเล็กก็อยู่บนก้อนใหญ่อีกที เจดีย์ก้อนหินบางองค์อาจเรียงด้วยคนๆ เดียว บางองค์คนไม่รู้จักกันก็มาเรียงต่อๆ กัน เรียงแล้วก็อธิษฐานขอพร ภาษาเกาหลีเรียกว่า “โซมังทลทับ” แปลว่า “เจดีย์แห่งความปรารถนา”      

จินนี่ชวนผมเดินเลยสะพานหินไปเพื่อดูหมู่เจเดีย์กลางหุบเขาแบบใกล้ๆ ผมเอาหินก้อนหนึ่งมาวางต่อขึ้นไปบนหินอีกก้อนที่เรียงขึ้นมาแล้วห้าหกชั้น ไม่ทันอธิษฐานเพราะมัวแต่กลัวว่าจะไปทำของเดิมล้ม พอไม่ล้มก็ดีใจแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเดินไปบนทางคอนกรีตขึ้นไปบนอาณาบริเวณวัดเพ็กดัมซา

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1190 โดยพระอาจารย์ชาจัง หลังจากที่ท่านเดินทางกลับจากศึกษาพุทธศาสนาในเมืองจีน สมัยนั้นดินแดนแห่งนี้ปกครองโดยราชินีชินดุกแห่งราชวงศ์ซิลลา หรือตั้งแต่เมื่อเกาหลีมีสามก๊กยังไม่รวมเป็นประเทศ  

เดิมทีวัดมีชื่อว่า “ฮังเย-ซา” เพราะตั้งขึ้นในหมู่บ้านชื่อว่า “ฮังเย” บนภูเขา “ซอรัก-ซัน” พระอาจารย์ชาจังได้สร้างพระพุทธรูปอมิตาภพุทธะขึ้น 3 องค์ขึ้นบูชาภายในวัด ซึ่งพระอมิตาภพุทธะคือพระพุทธรูปในนิกายสุขาวดีของจีนควบคู่กับพระอวโลกิเตศวร หรือเจ้าแม่กวนอิม 

เวลาผ่านไป วัดได้เปลี่ยนสถานที่ตั้งไปยังจุดต่างๆ บนเขาซอรักนี้หลายครั้ง รวมทั้งเปลี่ยนชื่อวัดไปหลายรอบ จนมาถึงชื่อ “เพ็กดัม-ซา” เมื่อ พ.ศ. 2000หมายถึง “บ่อน้ำร้อยบ่อ” มีที่มาจากครั้งหนึ่งวัดได้ย้ายไปสร้างบนยอดเขาซอรักและมีบ่อน้ำอยู่บนนั้นเป็นจำนวนมาก และเมื่อย้ายมาตั้งอยู่ยังหุบเขาในปัจจุบันก็ยังคงใช้ชื่อดังกล่าว

วัดเพ็กดัมซา หนึ่งในวัดเก่าแก่ที่ชาวเกาหลีเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก

เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญทั้งปวง จึงเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ในสมัยโบราณที่ต้องการบำเพ็ญภาวนา และถือเป็นความท้าทายสำหรับพระสงฆ์ทั่วทั้งประเทศที่มุ่งธุดงค์มาสู่และอยู่ปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลศ มีเมฆและหมอกคั่นระหว่างร่องลำธารในหุบเขาและท้องฟ้า จนนับได้ว่าเป็นวัดหนึ่งที่เก่าแก่และมีความสำคัญอย่างมากของเกาหลี   

สมัยของพระอาจารย์ “มันเฮ ฮัน” ที่ได้เดินทางมาจำวัดใน พ.ศ. 2448 และบรรลุอรหันต์ในไม่กี่ปีต่อมา ท่านได้เขียนบทบัญญัติสำหรับพระสงฆ์เกาหลีในยุคฟื้นฟูปฏิรูป รวมทั้งคำสอนที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรองอีกจำนวนหนึ่ง เป็นที่เคารพนับถือของชาวเกาหลี ในป้ายข้อมูลของวัดระบุว่าท่านยังเป็นผู้ที่หล่อหลอมแนวคิดเรื่องอิสรภาพจากจักรวรรดิญี่ปุ่นจนสามารถปลูกฝังแก่ชาวเกาหลีอย่างเป็นรูปเป็นร่าง และได้นำการเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “การเคลื่อนไหวซามิล” และช่วยชาวเกาหลีให้พ้นจากการปล้นสะดมของกองทัพญี่ปุ่นหลายครั้ง

ในตอนแรกที่พระอาจารย์มันเฮเดินทางมาถึง ได้มีบันทึกว่ามีอาศรมอยู่ 8 อาศรมซึ่งตั้งอยู่กระจัดกระจาย และในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 4 อาศรมเท่านั้น รัฐบาลเกาหลีใต้ได้กำหนดให้วัดเพ็กดัมซาเป็นวัดแห่งชาติลำดับที่ 24 และพระพุทธรูปอมิตาภพุทธะแกะสลักจากไม้ใน พ.ศ. 2291 เป็นสมบัติของชาติในลำดับที่1182 และถือเป็นงานพุทธศิลป์ที่ยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับยุคสมัยเดียวกัน  

รูปปั้นของพระอาจารย์ “มันเฮ ฮัน” มองดูความเป็นไปของวัดเพ็กดัมซา

นอกจากนี้แล้ว หลังจากการปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้เมื่อ พ.ศ. 2471 รูปปั้นพระอมิตาภพุทธะ 3 องค์แรกที่ได้กล่าวถึงไปก็ยังคงอยู่ รวมถึงระฆังโบราณ เจดีย์หยก 7 ชั้น และของขวัญจากจักรพรรดิอินโตแห่งราชวงศ์โจซุน ซึ่งถูกส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น

ปัจจุบันวัดเพ็กดัมซามีอาคารหลักอยู่ 6 หลัง ได้แก่ อาคารพุทธบูชา, อาคารดอกไม้ธรรมะ, อาคารอวตังสกะ, อาคารอรหันต์, อาคารอวโลกิเตศวร และอาคารภูเขาพระเจ้า และที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเมื่อไม่นานนี้อีกหลายอาคาร อาทิ อาคารอนุสรณ์พระอาจารย์มันเฮ, หอการเรียนรู้พระอาจารย์มันเฮ, ห้องศึกษาวิจัยพระอาจารย์มันเฮ, ห้องสมุดพระอาจารย์มันเฮ, ห้องแห่งการหลีกเร้น, หลักเมืองโบราณ, ห้องแห่งโชคลาภ, กุฏิพระสงฆ์, ห้องผู้สูงอายุ, ห้องกิจกรรมการกุศล, ร้านขายของที่ระลึก และร้านน้ำชา อาคารใหม่เหล่านี้ทุกหลังสร้างด้วยไม้ กลมกลืนกับบรรดาอาคารเก่าๆ เป็นอย่างดี  

จินนี่หยิบขนมจากห้องกิจกรรมการกุศลมา 2 ชิ้น ยื่นให้ผมชิ้นหนึ่ง บอกว่านี่คือเค้กข้าว อีกขนมยอดนิยมในวัยเด็กของเธอ ผมรับมาเคี้ยวได้ความหนึบและความหอม คงไม่ใช่ขนมวัยเด็กของผมจึงไม่รู้สึกว่าอร่อยแต่ก็ต้องกินให้หมดด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็เดินไปร้านน้ำชา จินนี่สั่งชาที่เธอบอกว่าดื่มแล้วจะทำให้สงบและผ่อนคลายมา 1 กา

พระอมิตาภพุทธะ 3 องค์ที่ตกทอดมาจากยุคเริ่มแรกของวัด

ผมรินใส่ถ้วย ดมกลิ่นแล้วจิบจึงรู้ว่าเป็นชาดอกคาโมมายล์ สักพักก็เริ่มออกฤทธิ์สงบผ่อนคลายอย่างจินนี่ว่าและยังแถมมาด้วยความง่วงจนอยากจะนอนสักงีบ ไม่น่าเลย รู้อย่างนี้ดื่มชาตัวอื่นหรือกาแฟจะดีกว่า     

ในร้านชายังมีมุมขายของที่ระลึกซึ่งจินนี่บอกว่ามีความพิเศษกว่าบรรดาของที่ขายในร้านใหญ่อีกร้านนั่นคือทำจากฝีมือพระและคนที่อาศัยอยู่บนภูเขานี้ ผมซื้อผ้าเช็ดหน้าพื้นสีขาวที่วาดดอกไม้เล็กๆ ที่มุมผ้า ลายต่างกันจำนวน 5 ผืนเพื่อนำไปฝากเพื่อนที่ญี่ปุ่นในอีกสามสี่วันข้างหน้า หวังว่าพวกเขาจะเต็มใจรับของฝากจากเกาหลี 

เดินข้ามสะพานหิน “ซูชิมเกียว” กลับไปยังจุดจอดรถบัสแต่หมดสิทธิ์ใช้บริการเพราะจินนี่บังคับให้เดินลงเขา เราเดินไปตามถนนที่คดเคี้ยว ด้านขวามือคือหุบเขาที่เป็นลำธาร มีน้ำใสไหลผ่านโขดหินรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไปจนเกือบสุดทาง แต่ก็ใช่ว่าจะเดินอย่างสำราญใจ นอกจากระยะทางจะไกลถึง 7 กิโลเมตรก็ยังมีรถบัสรับ-ส่งผู้โดยสารที่วิ่งขึ้น-ลงอยู่ตลอดเวลา เราต้องหลบเข้าข้างทางอยู่เรื่อยๆ ไม่พิงไหล่เขา ก็ยืนตัวลีบริมหุบเหว 

ภาพวาดปริศนาธรรมเรื่องการปล่อยวางบนฝาวัด

เพื่อนร่วมเดินบนเส้นทางขาลงเขานี้มีอยู่เหมือนกัน ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่วัยประมาณห้าสิบปีขึ้นไป รุ่นราวคราวเดียวกับเราไม่ค่อยมี พวกเขาใส่ชุดกันลมและมีไม้เท้าเดินป่าคอยประคอง ที่เดินสวนขึ้นมาก็มีเหมือนกันแต่น้อยมาก คงเพราะเป็นเวลาบ่ายพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ภูเขาซอรักมีเส้นทางสำหรับนักเดินป่าและตั้งค่ายพักแรมด้วย

แต่ละครึ่งกิโลเมตรที่เดินผ่านก็จะมีป้ายบอกว่าเหลืออีกระยะทางเท่าไหร่จึงจะถึงประตูหรือปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติซอรักซัน ผมก็คอยดูป้ายนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อตัวเลขเหลือน้อยลงกำลังใจก็เพิ่มขึ้น ระหว่างทางเดินผมแทบไม่พูดกับจินนี่ ปล่อยให้เธอเดินไปก่อน หรือบางครั้งก็เดินแซงไปสักสี่ห้าสิบเมตร

เลยปากทางเข้าอุทยานไปอีกหน่อยมีร้านอาหารตั้งอยู่หลายร้าน จินนี่แวะร้านที่ใกล้ถนนเส้นหลักระหว่างเมืองที่เราลงรถบัสเมื่อตอนสายๆ ผมบอกให้เธอสั่งตามใจชอบเพราะเป็นร้านอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิม ได้มื้อเที่ยงมาชุดใหญ่ อุดมไปด้วยเครื่องเคียง โดยเฉพาะจำพวกผักดอง ข้าวสวยเติมได้ เสริมความง่วงนอนเข้าไปอีกขั้น

ร้านมินิมาร์ทที่ติดกับถนนใหญ่เป็นจุดขายตั๋วรถบัส จินนี่ซื้อตั๋วไปเมืองซกโจ เพราะรถที่จะผ่านถนนนี้กลับเข้ากรุงโซลเต็มหมดแล้ว เราต้องไปนั่งรถจากเมืองซกโจเข้ากรุงโซลด้วยถนนไฮเวย์อีกเส้น

ถึงซกโจตอนเย็นๆ ผมบอกจินนี่ว่าไม่ต้องรีบกลับ ขอเดินเที่ยวแบบฉาบฉวยก็ยังดี เธอจึงซื้อตั๋วเที่ยวค่ำ เราหาร้านกาแฟอยู่นานแต่ไม่ถูกใจสักร้าน ก่อนจะเข้าสู่ถนนรูปปูยักษ์ผมก็กดกาแฟจากตู้ข้างทางมาดื่มอย่างสิ้นคิด ปรุงหวานมาเสร็จ แม้ไม่ชอบก็ดื่มจนหมด

โขดหินและลำธารที่ไหลจากยอดเขาซอรักซันสู่แม่น้ำเบื้องล่าง

ในถนนหรือตลาดปูยักษ์ที่เต็มไปด้วยร้านขายปูจักรพรรดิ มีร้านกาแฟน่านั่งแซกอยู่ร้านหนึ่ง ผมเดินเข้าไปสั่งลาเต้ร้อน และจินนี่ก็สั่งของเธอมาแก้วหนึ่ง เราออกมานั่งที่โต๊ะนอกร้านรับลมทะเล จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปซึ่งเป็นเขื่อนกันคลื่นอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแต่เรารู้สึกผ่อนคลายที่หน้าร้านกาแฟแห่งนี้มากกว่า เมื่อได้เวลาใกล้รถออกก็เดินกลับไปยังสถานีขนส่ง

แม้เพิ่งจะดื่มกาแฟไป 2 แก้ว แต่ขึ้นรถบัสได้ไม่กี่นาทีก็ผล็อยหลับลงอย่างง่ายดาย


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"