วิสัยทัศน์โลกในอีก 10 ปีข้างหน้าของสีจิ้นผิง


เพิ่มเพื่อน    

        ในที่ประชุม BRICS Business Forum เมื่อไม่กี่วันก่อนประธานาธิบดีสีจิ้นผิง แสดงวิสัยทัศน์ว่าโลกในอีก 10 ปีข้างหน้าจะแตกต่างจากปัจจุบัน เรื่องราวระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าเดิม ระบบโลกาภิบาล (global governance system) จะเปลี่ยนไป

        บทความนี้นำเสนอสาระสำคัญของสุนทรพจน์ พร้อมการวิเคราะห์ดังนี้

        ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา เราเห็นของแปลกใหม่หลายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นโลกแห่งโอกาสและความท้าทาย สิ่งที่ขับเคลื่อนโลกให้เติบโตจะเป็นของใหม่ที่เข้ามาแทนของเดิม  ความเป็นไปของโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบโลกาภิบาลจะเปลี่ยนไป ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ บิ๊กดาตา (big data) quantum information (ระบบข้อมูลที่ประมวลผลและถ่ายโอนอย่างรวดเร็วมาก) เทคโนโลยีชีวภาพ เหล่านี้จะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ ธุรกิจใหม่ เปลี่ยนแปลงแนวทางพัฒนาของโลก วิถีการทำงานและดำเนินชีวิต

        จำต้องร่วมมือแบบทุกฝ่ายได้ประโยชน์ สร้างเศรษฐกิจแบบเปิด การเปิดกว้างและความร่วมมือเอื้อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้องปฏิเสธสงครามการค้าเพราะไม่มีฝ่ายใดชนะ ความเป็นเจ้าเศรษฐกิจยิ่งต้องปฏิเสธ (Economic hegemony) เพราะบั่นทอนผลประโยชน์ร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ ท้ายที่สุดผู้ที่ดำเนินแนวทางนี้มีแต่ทำร้ายตัวเอง

        เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและกำลังเปลี่ยนแปลง ประเทศที่เปิดเท่านั้นจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกับประเทศอื่นๆ แบ่งปันความมั่งคั่งร่วม และการพัฒนาที่ยั่งยืน นี่คือทางเลือกที่ถูกต้อง

        ต้องเกาะติดนวัตกรรมและโอกาสพัฒนา ตั้งแต่อดีตกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือแรงผลักดันสำคัญของมนุษยชาติ ผลักดันให้เกิดอารยธรรมเกษตร สู่อารยธรรมอุตสาหกรรม บัดนี้โลกมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง สิ่งใหม่กำลังเกิดและแทนที่ของเก่า เป็นกระบวนการที่ยากลำบากและเจ็บปวด แต่หากประเทศใดยึดฉวยโอกาสเหล่านี้ไว้ได้จะเติบโตและช่วยให้ประชาชนมีชีวิตดีกว่าเดิม

        วิเคราะห์ : ประธานาธิบดีสีพูดตรงไปตรงมาว่าสิ่งใหม่ที่จะเกิดนอกจากเป็นโอกาสแล้ว ยังเป็น “ความท้าทาย” จะเกิดปัญหาแน่นอน หากไม่แก้หรือแก้ไม่สำเร็จจะส่งผลกระทบทางลบ โลกอนาคตใช่ว่าจะมีมุมที่สวยงามอย่างเดียว

        อย่างไรก็ตาม เราต้องฉวยโอกาสสำคัญนี้เพื่อตลาดเกิดใหม่ และเหล่าประเทศกำลังพัฒนา จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

        ควรใช้แนวทางการเติบโตร่วมกันที่ส่งผ่านผลประโยชน์แก่ประชาชนทุกประเทศ การพัฒนาที่ไม่เท่ากันและน้อยเกินไปเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศกำลังเผชิญร่วมกัน ระยะห่างระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ยังสูงอยู่ (กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกำลังพัฒนา)

        ปัจจุบันร้อยละ 80 ของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกเป็นผลมาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ร้อยละ 40 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจโลกมาจากประเทศเหล่านี้ ด้วยอัตราการเติบโตปัจจุบันในอีก 10 ปีข้างหน้าร้อยละ 50 ของผลผลิตเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในมือของประเทศเหล่านี้ และจะยังคงเพิ่มมากขึ้นๆ  ระดับการพัฒนาระหว่างโลกฝ่ายเหนือกับใต้จะสมดุลมากขึ้น เอื้อให้สันติภาพโลกเข้มแข็งขึ้น

        วิเคราะห์ : จีนกับอินเดียวางตัวเองอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 2 ประเทศนี้จะเป็นกำลังสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ระบบโลกาภิบาลจะเปลี่ยนไป :

      ในประเด็นระบบโลกาภิบาล ประธานาธิบดีสีชี้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ระบบหลายขั้ว โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจจะถดถอย ภายใต้เงามืดของลัทธิก่อการร้าย ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธสงคราม เหล่านี้ยังจะหลอกหลอนประเทศสหรัฐต่อไป

        ลัทธิกระทำฝ่ายเดียว (Unilateralism) และลัทธิปกป้องการค้า (protectionism) จะทวีความรุนแรง ทำลายระบบการเมืองพหุภาคีและระบอบการค้าพหุภาคี

        ประชาคมโลกมาถึงทางแยก ต้องเลือกระหว่างความร่วมมือกับการเผชิญหน้ากัน ระหว่างการเปิดออกกว้าง (opening-up) กับนโยบายปิดประเทศ และระหว่างผลประโยชน์ร่วมกับนโยบายผลักเพื่อนบ้านให้เป็นยาจก  (Beggar-thy-neighbor policy)

        โดยเหตุนี้ระบบโลกาภิบาลที่กำลังเปลี่ยนแปลงจึงก่อผลกระทบรุนแรงต่อการพัฒนาของทุกประเทศ โดยเฉพาะต่อตลาดเกิดใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา ต่อความมั่งคั่งและเสถียรภาพโลก

        ต้องสร้างระบบโลกที่ตั้งอยู่ในบนกฎเกณฑ์ มุ่งให้ทุกประเทศได้ประโยชน์ 

      วิเคราะห์ : ตั้งแต่เรื่องโลกาภิบาล ลัทธิก่อการร้าย การกระทำฝ่ายเดียว จนถึงนโยบายปิดประเทศ ประธานาธิบดีสีมุ่งชี้ไปที่รัฐบาลสหรัฐ คงไม่มากเกินไปถ้าจะสรุปว่า ในมุมมองของประธานาธิบดีสีโลกในขณะนี้ และอีก 10 ปีข้างหน้าคือการเผชิญหน้าระหว่างขั้วสหรัฐกับขั้วตรงข้ามที่ต่างพยายามสร้างระบบโลกใหม่ตามแนวทางของตนเอง ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐกับจีนล้วนแสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้วไม่ว่าจะปรากฏชัดเจนรุนแรงหรือไม่ก็ตาม

ทิศทางของกลุ่มบริกส์ :

        กลุ่มบริกส์ต้องยึดมั่นพหุภาคีนิยม ให้ทุกฝ่ายยึดมั่นกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ปฏิบัติต่อทุกประเทศอย่างเท่าเทียม นำประเด็นต่างๆ เข้าสู่การปรึกษาหารือ ต่อต้านความเป็นเจ้าและการเมืองแห่งอำนาจ (power politics) ส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือ ความมั่นคงรอบด้าน เป็นคนกลางร่วมแก้ปัญหาในภูมิภาคต่างๆ และแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ต่อการสร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่  ประชาคมโลกที่แบ่งปันอนาคตของมนุษยชาติ

        จีนยืนยันที่จะร่วมสร้างเศรษฐกิจโลกแบบเปิด ต่อต้านลัทธิกระทำฝ่ายเดียวและปกป้องการค้า สนับสนุนตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา

        วิเคราะห์ : ความตอนท้ายแสดงท่าทีชัดว่าจีนจะไม่อยู่เฉย จะมีส่วนสร้างระบบความสัมพันธ์ประเทศแบบใหม่ที่ต่างจากปัจจุบัน เป็นระบบที่แบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่ใช้หลักความเป็นเจ้า ซึ่งจะสำเร็จเป็นจริงหรือไม่ เป็นเรื่องต้องติดตาม

วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :

      ประการแรก เทคโนโลยีกับการเมืองระหว่างประเทศ 2 ปัจจัยที่ขับเคลื่อนและควบคุมโลก

      ในสุนทรพจน์ที่ไม่ยาวนัก สรุปสั้นๆ ได้ว่าพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกในขณะนี้มาจาก 2 ปัจจัย นั่นคือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกับการเมืองระหว่างประเทศ (บางคนอาจเอ่ยถึงประเด็นศาสนาความเชื่อ ความต้องการพื้นฐาน เช่น กิเลส ความรักสบาย แรงผลักดันจากปากท้อง)

        ที่ควรย้ำเตือนคือความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง มีผลต่อการพัฒนาประเทศ และต่อระบบโลกในที่สุด เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ใครก็หยุดไม่ได้

      ดูเหมือนว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีไม่ขึ้นกับประเทศใดประเทศหนึ่ง มีแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า มีนวัตกรรมใหม่อยู่เสมอ เป็นพลังจากหลายภาคส่วน ที่สำคัญคือภาคธุรกิจเอกชนกับปัจเจกบุคคลทั่วโลก พลังนี้กำลังเปลี่ยนแปลงระบบโลก ความเป็นไปของโลก

        อำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะตัวแสดงสำคัญต่อการควบคุมกฎเกณฑ์ภายในประเทศและโลก วางระบบโลกที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตนมากที่สุด

      ประการที่ 2 ระบบโลกแบ่งขั้ว

      ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงย้ำเน้นส่งเสริมโลกพหุภาคี แต่แนวทางของจีน (หรือกลุ่มบริกส์) กับสหรัฐ ล้วนกำลังแบ่งโลกให้เป็น 2 ขั้วมากขึ้น คือขั้วที่รัฐบาลสหรัฐเป็นผู้วางกฎ กับอีกขั้วที่ฝ่ายตรงข้ามสหรัฐเป็นผู้วางกติกา

        ความเป็นขั้วจะมีทั้งแบบกลุ่มความร่วมมือ เช่น อียู กลุ่มที่มีซาอุฯ เป็นแกนนำ อาเซียน กับการแบ่งขั้วที่อิงมหาอำนาจ มีทั้งที่อิงสหรัฐ จีน และรักษาระยะห่างระหว่างมหาอำนาจ เช่น แนวทางอาเซียน

        ที่น่าคิด คือ ความเป็น 2 ขั้วจะเด่นชัดมากขึ้นหรือไม่ หากรัฐบาลจีนแสดงตัวเข้าพัวพันโลกมากขึ้น น่าเชื่อว่าจะยิ่งทำให้ความเป็นขั้วเด่นชัดขึ้น

        ประการที่ 3 ข้อเตือนใจ

      ในฐานะผู้นำประเทศ ประธานาธิบดีสีเอ่ยประโยคสำคัญว่าจำต้องฉวยโอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศตนเอง ถ้ามองในระดับปัจเจกบุคคล ย่อมสรุปว่าแต่ละคนจะคว้าโอกาสได้ไม่เท่ากัน ดังที่รับรู้กันทั่วไปว่าบางคนพัฒนาตามทันเทคโนโลยีบางคนยังย่ำอยู่กับที่หรือไปได้ช้า ผู้ที่ย่ำอยู่กับที่กลายเป็นคนล้าหลัง ถูกทิ้งไว้กับเทคโนโลยีความรู้เก่า

        ประธานาธิบดีสีพูดถึงโอกาสและความท้าทายการพัฒนาประเทศ แต่โอกาสนี้จำต้องถึงมือประชาชน และในโอกาสมีความท้าทายที่เจ็บปวดรวมอยู่ด้วย เป็นเรื่องที่จำต้องก้าวผ่านหากคิดจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ

        โดยรวมแล้ว ในอีก 10 ปีข้างหน้าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเห็นว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าเดิม ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจการเมืองโลก ไล่ลงมาจนถึงวิถีชีวิตคนทุกคน ไม่ใช่ทุกประเทศ หรือทุกคนจะได้ประโยชน์เท่ากันแม้จะพยายามก็ตาม แต่การพยายามปรับปรุงพัฒนาดีกว่านั่งนิ่งเฉยแน่นอน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"