สิ่งที่หลายฝ่ายอยากเห็นก็คือเราต้องการให้เด็กๆ ได้กลับคืนสู่ชีวิตปรกติเหมือนอย่างที่พวกเขาเคยเป็นก่อนที่พวกเขาติดถ้ำ เราได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูเยียวยาเด็กๆ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ในความพยายามดังกล่าวนั้น เราได้คัดกรองคำถามที่สื่อต้องการถามในการแถลงของเด็กเพื่อไม่ให้มีคำถามใดๆ ที่จะทำให้เด็กมีบาดแผลในใจ และมีการกำหนดไม่ให้สื่อมวลชนตามสัมภาษณ์เด็กๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนส่วนใหญ่ ไม่มีรายการโทรทัศน์ไปแย่งชิงตัวเด็กๆ มาออกรายการ ถ้าไม่ห้ามไว้ เราคงจะได้เห็นเด็กๆ ต้องเดินสายออกรายการต่างๆ จนไม่ต้องเรียนหนังสือกันแล้ว จนเด็กก็จะกลายเป็นคนดัง (celebrities) ที่ไม่อาจจะมีชีวิตที่ปรกติได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีใครไปรบกวนสัมภาษณ์เด็กๆ แต่การนำเสนอข่าวเกี่ยวความเป็นอยู่ของเด็กๆ ก็ยังเป็นโฟกัสของสื่อเทียบได้กับเรื่องราวของคนที่เป็นคนดังเหมือนเป็นดารา นักร้อง หรือแชมป์กีฬา สื่อบางรายอาจจะอ้างว่าที่ยังนำเสนออยู่ก็เพราะสาธารณชนยังสนใจชีวิตของพวกเขาอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่เพื่อให้เด็กๆ เขาได้กลับคืนสู่ชีวิตปรกติ เราคงไม่จำเป็นต้องตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของสาธารณชนไปทุกเรื่อง หรือทุกวันเลือกเอาเรื่องสำคัญในวาระต่างๆ ก็น่าจะพอ มองเขาเป็นผู้ประสบภัยที่ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากอันตรายน่าจะดีกว่ามองพวกเขาเป็นคนดังเหมือนดารา เพื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตปรกติธรรมดาเหมือนอย่างที่เขาเป็นก่อนติดถ้ำ เหมือนอย่างที่ครูของเด็กๆ บอกกับเพื่อนของเด็กๆ ว่าให้มองหมูป่าเป็นเพื่อนอย่างที่เคยเป็น อย่าไปขอลายเซ็นหรือขอถ่ายเซลฟีแต่อย่างใด
ถ้าหากอยากทำข่าวเรื่องนี้ แทนที่จะโฟกัสไปที่เด็กๆ ที่เราต้องการให้พวกเขาคืนสู่ชีวิตปรกติ เราสามารถทำข่าวเจาะการทำงานของฝ่ายต่างๆ ที่เขาช่วยกันเอาเด็กออกมาจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย เบื้องหน้าเบื้องหลังของการทำงาน วิธีคิดและการตัดสินใจในการทำงานแต่ละช่วงแต่ละตอน แค่นี้ก็มีเนื้อหาพอที่จะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้โดยไม่ไปทำให้เด็กกลายเป็นคนดังที่ไม่อาจจะใช้ชีวิตธรรมดาได้อีกต่อไป คนเราถ้าหากมีคนติดตามการใช้ชีวิตของเราทุกวี่วัน แล้วสิทธิแห่งเสรีภาพของเราจะเหลืออะไร เราจะทำอะไรตามใจตัวเราเองได้หรือไม่ หรือเราต้องระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามีคนส่องชีวิตของเราอยู่จนเราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ จะทำอะไรก็จะเกร็งไปหมด ต้องระวังคนที่กำลังส่องเราอยู่ว่าจะนำเอาชีวิตความเป็นอยู่ของเราไปนำเสนอต่อสาธารณชนอย่างไร
บัดนี้น้องๆ เขาบวชแล้ว ก็ควรให้เขาอยู่ในวัดอย่างสงบ อย่านำเสนอกิจวัตรของพวกเขาทั้ง 9 วัน เหมือนอย่างครั้งหนึ่งที่นักร้องระดับซูเปอร์สตาร์บวชในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดแข่งขันเอเชียนเกมส์ ปรากฏว่าเรื่องของเอเชียนเกมส์แย่งพื้นที่ข่าวหน้าหนึ่งไม่ได้เลย เพราะในช่วงเวลานั้น หนังสือพิมพ์ทั้งหลายเอากิจวัตรของนกร้องคนนั้นขณะเป็นพระขึ้นหน้าหนึ่งทุกวันเลยตั้งแต่การท่องบทสวด การปลงผม การบวช การย้ายไปจำวัดที่ต่างจังหวัด การออกบิณฑบาต การออกธุดงค์ จนถึงวันที่สึก ก็หวังว่าข่าวการบวชของเด็กๆ อย่าได้เป็นเช่นนี้เลย ให้พวกเขาได้บวชอย่างสงบเถอะ หากจะทำข่าวก็รอวันที่เขาสึกเลยก็แล้วกัน เมื่อเขาสึกแล้ว ทำข่าวเรื่องที่เขาสึกแล้วก็น่าจะหยุดได้แล้ว ไม่ใช่ไปตามเรื่องพวกเข้าเข้าเรียน หรือการเรียนพิเศษที่ทางโรงเรียนจัดให้แก่เด็กๆ ไม่ต้องไปตามว่าเขาตามเพื่อนทันหรือไม่ อย่าไปตามประเมินพวกเขาเลย แล้วอย่าไปตามส่องผลการเรียนของเขาว่าใครสอบได้คะแนนเท่าใด แม้ว่าพวกเขาบางคนจะทำคะแนนได้ดี แต่การนำเสนอคะแนนที่เป็นผลการเรียนนั้นเข้าข่ายการละเมิดสิทธิ์ของคนที่เป็นเจ้าของคะแนนแน่นอน ดังนั้นใครที่จะไปส่องผลการเรียนของเด็กๆ ก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เมื่อพ้นระยะหนึ่งเดือนที่กำหนดไว้ว่าอย่าเพิ่งไปยุ่งขอสัมภาษณ์เด็กๆ และครอบครัว พฤติกรรมของสื่อจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตามขอให้ทำงานบนพื้นฐานที่ว่า “เราต้องการให้เด็กได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาที่ไม่ใช่คนดังแบบดารา” อย่าทำให้เด็กมองตัวเองผิดไปจากการเป็นคนธรรมที่ครั้งหนึ่งประสบภัยและได้รับความช่วยเหลือให้รอดปลอดภัยมา เวลานี้หากเราติดตามดูข่าวการบวชของน้องๆ เขา เราก็จะพบข่าวดังนี้
ข่าวกำหนดการวันเวลาในการบวชของพวกเขา (เรื่องนี้ก็เหมาะสมอยู่)
ข่าวการเตรียมการในการทำพิธีบวช (เรื่องนี้ก็สมควรนำเสนออยู่)
ข่าวการปลงผมของนาคทั้งหลายว่ามีใครมาบ้าง (ก็ถือว่าใช้ได้ เพราะไม่ได้รบกวนใคร)
ข่าวการแห่นาคไปจนถึงการจบพิธีการบวช (ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่านำเสนอ)
ข่าวที่พวกเขาตื่นกี่โมง ทำอะไรบ้าง จนถึงเข้านอนเวลา 21.00 น. (เกินไปไหม)
ข่าวการบิณฑบาตวันแรกว่าต้องบิณฑบาตในวัด เพราะฝนตก (ละเอียดไปหรือเปล่า)
เด็กๆ เพิ่งบวชได้ 2-3 วัน ตามข่าวของพวกเขาละเอียดขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าในวันที่เหลือก่อนที่น้องๆ เขาจะสึก จะมีการนำเสนอข่าวอะไรเกี่ยวกับชีวิตในบรรพชิตของพวกเขาบ้าง ใจคอจะไม่ให้พวกเขาอยู่อย่างสงบบ้างเลยหรือ และหากจะอ้างว่าสาธารณชนสนใจที่อยากจะรู้นั้น อยากถามว่ามีข้อมูลตรงไหนหรือเปล่าที่บ่งบอกว่าสาธารณชนอยากจะรู้ อาจจะมีสาธารณชนบางรายเขาก็เห็นใจเด็กๆ และอยากให้เด็กๆ เขาได้สงบ โดยไม่ต้องให้มีใครตามติดชีวิตเขาขนาดนั้น หรือบางคนเขาก็อาจจะคิดว่าเรื่องของเด็กๆ นั้นน่าจะพอแล้ว หากจะมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องการปูนรางวัลให้เหล่าบรรดากลุ่มคนที่มาช่วยเหลือเด็ก หรือการสัมภาษณ์คนที่มาช่วยเด็กว่าแนวทางการช่วยเหลือของเขาเป็นอย่างไร ก็น่าจะพอมีเรื่องเกี่ยวกับการติดถ้ำของ 13 หมูป่ามาทำข่าวได้
เด็กๆ เขายังไม่บรรลุวุฒิภาวะ อย่าทำให้เขาเสพติดการเป็นคนดังด้วยการเห็นตัวเองปรากฏในสื่ออย่างต่อเนื่อง แล้ววันหนึ่งไม่มีเรื่องราวของเขาต่อไปแล้ว พวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ พวกเขาจะมีความรู้สึกเสียใจ เศร้าสร้อย ซึมเศร้าอย่างไรหรือเปล่า ทำอะไรให้พอเหมาะพอดีเถิด เราเป็นชาวพุทธ เรียนรู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทากันมาแล้ว ก็จงเดินสายกลางอย่างพอเหมาะพอควรเถิด แล้วลองอ่านลองดูคำเตือนของคนชิลีที่เคยติดอยู่ในเหมืองที่บอกเล่าให้เด็กๆ 13 หมู่ป่า แล้วนำมาใคร่ครวญกำหนดการทำข่าวของเราให้พอเหมาะพอดีกันเถิดนะ ให้เด็กๆ ได้มีชีวิตสงบๆ ตามปรกติบ้างเถิด.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |