เมื่อได้นั่งลงถาม-ตอบกับ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าฯแบ็งก์ชาติในหัวข้อสำคัญของเศรษฐกิจไทย...หนึ่งในคำถามใหญ่คือไทยจะรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมขณะที่ธนาคารกลางมะกันประกาศขยับทุกไตรมาสหรือถี่กว่านั้นได้จริง ๆ หรือ?
คำตอบชัด ๆ คือ “เราฝืนตลาดโลกไม่ได้ครับ” เพราะระบบการเงินโลกมันเชื่อมโยงกัน
ประโยคต่อไปน่าจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างได้
“ถึงแม้วันนี้เราจะยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เราก็เริ่มเห็นอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของเราค่อย ๆ ปรับขึ้น สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินโลก...”
เราสามารถซื้อเวลาได้ระยะหนึ่งก็เพราะ “กันชน” ด้านต่าง ๆ ที่ไทยได้สร้างเอาไว้
รวมถึง “การตุนกระสุน” เอาไว้เผื่อจะต้องใช้รักษาป้อมปราการเอาไว้
“กันชน” ที่ว่านี้มีอะไรบ้าง?
อันแรกคือการใช้เงินจากต่างประเทศค่อนข้างน้อย พึ่งพาเงินตราจากข้างนอกไม่มาก หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ ภาครัฐคืนนี้ต่างประเทศไปเยอะมากในช่วงที่ผ่านมาเพราะสภาพคล่องในประเทศสูง
ภาคเอกชนมีหนี้ต่างประเทศอยู่บ้าง ส่วนใหญ่กู้มาเพื่อลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะธุรกิจยักษ์ของไทยที่ไปลงทุนข้างนอก
สถานการณ์วันนี้จึงต่างจากช่วง “วิกฤตต้มยำกุ้ง”ที่ไทยไปกู้เงินต่างประเทศมาใช้กันมโหฬาร เกิดปัญหาความไม่สมดุลระหว่างสกุลเงินต่าง ๆ
ตอนนี้สถานการณ์กลับกัน
“กันชน” อีกด้านหนึ่งคือต่างชาติถือพันธบัตรรัฐบาลของไทยเพียงร้อยละ 10
ขณะที่ประเทศรอบบ้านเรา บางประเทศตัวเลขนี้สูงถึงร้อยละ 40
ด้วยเหตุนี้ หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ประเทศเหล่านั้นจะตกอยู่ในสภาพอ่อนไหวกว่าไทย
“กันชน” อีกแถวหนึ่งที่สำคัญคือทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยวันนี้ค่อนข้างสูง เท่ากับ 3.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
และหากเทียบกับหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหนี้ระยะสั้น ระยะยาว หนี้ทางการ หนี้ภาคเอกชน ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าประมาณ 1.5 เท่า
อีกกันชนหนึ่งที่ไม่ได้ค่อยได้พูดถึงกันคือการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงมากใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ปีนี้คาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 9 ของจีดีพีหรือคิดเป็นเงินก็ประมาณ 40,000 ล้านเหรียญ เพราะเราได้จากการขายสินค้าออกไปและรายได้จากนักท่องเที่ยวเข้ามา
เหตุนี้แหละที่ผู้ว่าธนาคารกลางไทยบอกว่าเมื่อมี “กันชน” ที่แข็งแกร่งก็ทำให้มีอิสระในการทำนโยบายการเงินเพื่อตอบโจทย์สถานะเศรษฐกิจในประเทศได้
แต่ถ้าอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยถี่และต่อเนื่อง ก็ไม่แน่
ดร.วิรไทย้ำ “เราไม่มีทางฝืนตลาดเงินตลาดทุนโลกได้”
แปลว่าแม้จะมี “กันชน” และ “กระสุน” ที่ช่วยเป็นเกราะกำบังได้ในช่วงนี้ อะไร ๆ ที่คาดไม่ถึงก็อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ
จึงเป็นที่มาของคำเตือนว่า “ความเสี่ยงยังสูง คนไทยอย่าชะล่าใจ” เป็นอันขาด
คำแนะนำก็คือแม้คนไทยจะคุ้นชินกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็อย่าประมาท
“อาศัยโอกาสที่ดอกเบี้ยยังถูกอยู่นี่ก็ล็อกซะ , ล็อกอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้ตราสารยาวขึ้น ก็ลดความเสี่ยงเวลาที่ต้องต่ออายุ เวลาที่ตราสารระยะสั้น ๆ ครบกำหนด เวลาที่ต้อง roll over ก็จะได้ไม่ค่อยมีปัญหา
อัตราดอกเบี้ยต่ำไม่ได้แปลว่าไม่มีปัญหา
“การที่อัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานานก็สร้างผลข้างเคียงหลายอย่าง...เรามีผู้ออกที่เราต้องดูแลด้วย ไม่ใช่มีแต่ผู้กู้อย่างเดียว คนไทยต้องมีความมั่นคงการเงิน เราจะเป็นสังคมผู้สูงวัย ดังนั้นเรื่องของผลตอบแทนจากการออมก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องดูแลให้สมดุล...”
การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานานมาก ๆ ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมที่มักจะประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร และพยายามมุ่งแต่จะหาผลตอบแทน
ผลที่ตามมากมีปัญหาเช่นลักษณะ “กึ่ง ๆ ธนาคารเงา” เช่นกรณีที่มีคนถอนเงินฝากธนาคารไปฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ เขาเอาเงินไปทำอะไร ทำไมเขาถึงได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า อาจมีความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ และขณะเดียวกันเราก็เห็นกรณีของตราสาร ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เรียกว่า unrated bond ที่คนเข้าไปลงทุนกันเยอะในช่วงปีสองปีก่อนหน้านี้”
นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่า search for yield หรือการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยไ่ม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
เรื่องของดอกเบี้ยจึงเป็นเรื่องของทุกคน ขึ้นก็กระทบบางกลุ่ม ลงก็กระเทือนอีกบางคน
ท้ายที่สุดการ “บริหารความสมดุล” คือหัวใจของคนบริหารธนาคารกลางอย่าง ดร.วิรไทนี่แหละ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |