กยศ. เตรียม ถอน การบังคับคดี “ครูวิภา” 4 คดีแรก เหลือลูกศิษย์อีก 17 คน เร่งติดตามสืบทรัพย์ คาด ดำเนินการได้ปลายปี 61 ด้าน “ครูวิภา” เผยเสียงสั่น ไม่อยากฟ้องเด็กเขาคือลูกศิษย์
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า จากกรณีที่นางสาววิภา บานเย็น ผู้ค้ำประกันนักเรียนที่เป็นผู้กู้ยืมตั้งแต่พ.ศ. 2541-2542 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 5 จำนวนประมาณ 60 ราย ปรากฎว่ามีลูกศิษย์ที่เปิดบัญชีเงินกู้แล้ว 29 ราย อยู่ระหว่างการชำระหนี้ปกติจำนวน 10 ราย ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 21 ราย ในจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้องมีการยึดทรัพย์แล้ว 4 ราย ซึ่งจากการสืบทรัพย์ของทั้ง 4 รายนี้ กยศ.ไม่สามารถตรวจพบทรัพย์ แต่พบทรัพย์ของนางสาววิภา ในฐานะผู้ค้ำประกันและดำเนินการยึดทรัพย์ของนางสาววิภาทั้ง 4 คดี อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนางสาววิภา เป็นการค้ำประกันตอนเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาและเป็นการกู้เรื่องค่าครองชีพ จำนวนไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย ทั้งนี้นางสาววิภาได้ดำเนินการชำระหนี้ในส่วนที่จะโดยยึดทรัพย์แล้วทั้งหมด 4 คดี โดยต่อจากนี้ กยศ.จะดำเนินการถอนการบังคับคดีในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอีก 17 คดีที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นตอนการบังคับคดี ซึ่งทั้ง 17 รายนี้คิดเป็นเงินต้นที่ค้ำประกันประมาณ 190,000 บาทนั้น กยศ.จะไปดำเนินการสืบทรัพย์ พร้อมทั้งชะลอการบังคับคดีของนางสาววิภาไว้ก่อน
นายชัยณรงค์ กล่าวต่อว่า กยศ.จะเร่งติดตามสืบทรัพย์ทั้ง 17 รายผ่านทางสำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร ว่าทำงานอยู่ที่ไหนอย่างไร ซึ่ง กยศ.มีอำนาจดำเนินการได้ตามพ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ที่สามรรถเข้าถึงข้อมูลผู้กู้ได้ และหากพบตัวจะประสานหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อหักเงินเดือนมาชำระหนี้ กยศ. ซึ่งกรณีทำงานในภาคเอกชนจะสามารถดำเนินการได้ภายในปลายปี 2561 และในส่วนของลูกศิษย์ 4 รายหากนางสาววิภา ต้องการไล่เบี้ยคืน กยศ.ก็พร้อมในการจัดหาทนายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องให้ อย่างไรก็ตาม สำฟรับกระบวนการกู้ยืมเงินนั้น กยศ.จะมีการปฐมนิเทศนักเรียนและผู้ปกครองเพื่อให้ความรู้ว่าในการชำระหนี้ ต้องทำอะไร ถ้าไม่ชำระหนี้จะเกิดอะไร และเมื่อเรียนจบจะมีการปัจฉิมนิเทศอีกรอบหนึ่ง ทั้งนี้ หลังเรียนจบจะมีระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี จึงจะเริ่มกระบวนการชำระหนี้ ซึ่งผู้กู้ 1 คนกู้เฉลี่ย 1 แสนบาท โดยกระบวนการติดตามหากผู้กู้ไม่ชำระ กองทุนจะส่งจดหมายแจ้งภาระหนี้ให้ผู้กู้ จากนั้นกองทุนจะมีส่งจดหมายติดตามหนี้ค้างชำระให้แก่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน และมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์แจ้งเตือง มีการส่งข้อความ SMS และข้อความเสียง เพื่อให้ชำระหนี้ในระยะเวลาที่กำหนด
"การติดตามหนี้ กยศ.จะติดตามจากผู้กู้ก่อน แต่ที่เกิดปัญหาผู้ค้ำประกันต้องมารับผิดชอบมีหลายกรณี คือ ผู้กู้ยังไม่มีทรัพย์ ผู้กู้มีทรัพย์แต่ไม่จ่าย และไม่มีวินัยทางการเงิน นำเงินไปใช้อย่างอื่นมากกว่ามาใช้หนี้ จึงเกิดปัญหากับผู้ค่ำประกัน ขณะเดียวกัน การติดตามหนี้ก็พบปัญหาว่าผู้กู้ปิดเบอร์มือถือ และบางรายไม่อยู่ในถิ่นฐานเดิมทำให้ติดตามไม่ได้ ทั้งนี้ มีผู้ค้ำประกันให้นักเรียนหลายคนแบบนางสาววิภาจำนวนมาก คาดว่าน่าจะมีปัญหาแบบนี้เหมือนกัน ส่วนหนึ่งเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีการกำหนดจำนวนคนค้ำและจำนวนเงิน แต่กรณีนี้กยศ.ก็จะมาพิจารณาปรับแนวทางในอนาคตกำหนดบุคคลและวงเงินต่อไป"ผู้จัดการ กยศ. กล่าว
นายชัยณรงค์กล่าวต่อว่าปัจจุบัน กองทุนได้ปล่อยเงินกู้ยืมให้แก่นักเรียน นักศึกษาไปแล้วจำนวนกว่า 5.4 ล้านราย คิดเป็นเงินกว่า 5.7 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้มีผู้กู้ยืมที่ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วจำนวน 8 แสนราย อยู่ระหว่างปลอดหนี้ 1 ล้านราย อยู่ระหว่างชำระหนี้ 3.5 ล้านราย แบ่งเป็นผู้ชำระหนี้ปกติ 1.4 ล้านราย ผิดนัดชำระ 2.1 ล้านราย โดยมีผู้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วมากกว่า 1 ล้านราย อย่างไรก็ตาม ขอฝากถึงผู้กู้ทุกคนและทั้ง 17 รายนี้ให้มีจิตสำนึกให้มาใช้หนี้ มาแบ่งเบาภาระหนี้ให้ครู และส่งโอกาสการศึกษาให้กับรุ่นน้องต่อไป
ด้าน นางสาววิภา กล่าวว่า ที่ผ่านในกรณีลูกศิษย์ 4 รายที่ได้ชำระหนี้ในส่วนที่ต้องรับผิดชอบไปแล้วประมาณ 92,000 บาทนั้น และยังเหลืออีก 17 รายที่ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กยศ.มาก่อน และก็ยังไม่รู้ว่าอีกทั้ง 17 คนจะโดนอีกเมื่อไร เพราะในแต่ละปีที่ศาลฟ้องไม่ได้ดำเนินการฟ้องพร้อมกันทั้งหมด อีกทั้งการที่มีหมายศาลส่งถึงบ้านตนก็ทำให้มีความรู้สึกตกใจและไม่มีการแจ้งว่าควรจะดำเนินการอย่างไรก่อนที่จะมีการยึดทรัพย์ รวมถึงตนไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเด็กมีการชำระหนี้หรือไม่ มาทราบอีกทีก็ได้รับหมายศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์แล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีข่าวออกไปมีลูกศิษย์ติดต่อเข้ามา 2 ราย โทรศัพท์มาขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนและบอกว่าจะไปปิดหนี้ กยศ.ที่เหลืออยู่และจะผ่อนชำระหนี้ที่ครูจ่ายแทนไปให้เดือนละ 5 พันบาท แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเขาจะดำเนินการอย่างที่พูด เพราะเป็นแค่การคุยโทรศัพท์ไม่มีหลักฐานยืนยัน
"แม้ กยศ.จะชะลอการบังคับคดีแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าคดีจะสิ้นสุด เพราะถ้าสืบทรัพย์ของเด็กไม่ได้ก็จะวนมาที่ตัวเองอยู่ดี ซึ่งหากถูกยึดทรัพย์จริงก็จะไปกู้เงินมานำทรัพย์ออกไม่ยอมให้ขายทอดตลาดอย่างเด็ดขาด และหากเป็นไปได้อยากให้การชำระหนี้ของเด็กจ่ายเป็นชื่อผู้ค้ำ เพราะเรารับภาระมาก่อนหน้านี้แล้ว ขอฝากถึงลูกศิษย์ที่ได้ดูอยู่ช่องทางไหนก็ตาม ทั้งคนที่ครูจ่ายหนี้แทนหรือยังไม่ได้จ่าย ด้วยความเป็นครูไม่เคยอยากทำร้ายลูกศิษย์ เราไม่อยากฟ้องเด็กเขาคือลูกศิษย์ แค่อยากให้มาคุยจะใช้หนี้คืนอย่างไร ซึ่งคงไม่พูดอะไรมากเพราะ คำว่า คนดี ครอบคลุมหมดทุกอย่างในเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีคุณธรรมและความรับผิดชอบ"นางสาววิภา กล่าว
นางเพ็ญรวี มาแสง โฆษกกรมบังคับคดี กล่าวว่า การติดตามหนี้ไม่ได้มีแค่การยึดทรัพย์เพียงวิธีการ เพราะก่อนจะถึงขั้นตอนนี้จะมีกระบวนการการไกล่เกลี่ย ซึ่งกรมบังคับคดีและกยศ.ได้มีความร่วมมือในการไกล่เกลี่ยเพื่อให้เจ้าหนี้และลูกหนี้มาทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้เกิดการชำระหนี้ที่ลูกหนี้สามารถจ่ายได้