ฝนกระหน่ำ สปป.ลาว กัดเซาะเขื่อนแตก ส่งน้ำ 5 ล้านลูกบาศก์เมตรบ่าเข้าท่วม 6 หมู่บ้าน สื่อท้องถิ่นเผยมีคนสูญหายหลายร้อยคน และคาดว่ามีคนเสียชีวิตแล้ว แต่ยังระบุจำนวนไม่ได้ เผยเป็นเขื่อนเสริมอ่างเก็บน้ำโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ มีบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งฯ  ถือหุ้นร่วมกับบริษัทลาวและเกาหลีใต้ รัฐบาลไทยเตรียมส่งผู้เชี่ยวชาญด้านกู้ภัยช่วย
    สำนักข่าวสารประเทศลาวและสื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานเมื่อวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 ว่าเกิดเหตุเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยแตกเมื่อค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำมหาศาล 5 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมากกว่าสระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก 2 ล้านสระ ไหลบ่าเข้าท่วมหมู่บ้าน 6 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของลาวซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนของกัมพูชา รายงานของสำนักข่าวสารประเทศลาวกล่าวว่า มีคนเสียชีวิตหลายคน และชาวบ้านสูญหายอีกหลายร้อยคน ชาวบ้านอีกประมาณ 6,600 คนไร้ถิ่นฐาน และเจ้าหน้าที่รัฐกำลังเร่งอพยพชาวบ้านออกนอกพื้นที่ประสบภัย 
    เฟซบุ๊กของเอบีซีลาว สื่อท้องถิ่นของ สปป.ลาว ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากทางอากาศมองเห็นผืนน้ำขุ่นโคลนท่วมพื้นที่บริเวณกว้างทั้งที่เป็นบ้านเรือนประชาชนและเขตป่า มีวิดีโอชิ้นหนึ่งเผยให้เห็นครอบครัวชาวบ้านหลายครอบครัวรอคอยความช่วยเหลืออยู่บนหลังคาบ้าน แต่เอเอฟพีรายงานว่า แม้เหตุการณ์เขื่อนแตกจะผ่านมาแล้วเกือบ 24 ชั่วโมง แต่เจ้าหน้าที่ทางการลาวกล่าวกันว่า พวกเขายังไม่สามารถประเมินขอบเขตของหายนภัยครั้งนี้ได้
    เจ้าหน้าที่จากแขวงอัตตะปือที่ประสบภัยน้ำท่วมส่วนใหญ่ กล่าวกับเอเอฟพีโดยไม่เปิดเผยชื่อว่า พวกเขายังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิต หรือมีคนสูญหายจำนวนเท่าใด เนื่องจากไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่น้ำท่วม เจ้าหน้าที่ได้ส่งหน่วยกู้ภัยออกช่วยเหลือชาวบ้านและมอบความช่วยเหลือพื้นฐานก่อนแล้ว
    สำนักข่าวของทางการลาวกล่าวว่า นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้เลื่อนการประชุมของรัฐบาล และนำคณะรัฐมนตรีไปตรวจปฏิบัติการกู้ภัยและบรรเทาทุกข์ในเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งที่ประสบภัย
    เอเอฟพีเผยด้วยว่า รัฐบาลไทยแถลงว่าไทยจะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ภัยไปช่วยเหลือ สปป.ลาว 
    โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย มูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 40,037 ล้านบาท) ดำเนินโครงการโดยบริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด (พีเอ็นพีซี) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2555 โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐวิสาหกิจลาว, บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ของไทย และบริษัทจากเกาหลีใต้อีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอสเค เอนจิเนียริงแอนด์คอนสตรัคชัน และบริษัท โคเรียเวสเทิร์นเพาเวอร์ 
    บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งฯ ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 25 ในพีเอ็นพีซี ออกแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ว่า บริษัทได้รับแจ้งจากพีเอ็นพีซี ประเทศ สปป.ลาว ว่าเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขา ส่วน D (Saddle Dam D) ขนาดสันเขื่อนกว้าง 8 เมตร ยาว 770 เมตร และสูง 16 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเสริมการกั้นน้ำรอบอ่างเก็บน้ำเซน้ำน้อย โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย เกิดการทรุดตัว ส่งผลให้สันเขื่อนดินย่อยดังกล่าวเกิดรอยร้าว และน้ำไหลออกไปสู่พื้นที่ท้ายน้ำ และลงสู่ลำน้ำเซเปียน ที่อยู่ห่างจากพื้นที่เขื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร
    คำแถลงระบุว่า สาเหตุของเขื่อนทรุดตัวครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพายุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลเข้าสู่พื้นที่กักเก็บน้ำของโครงการ
    "ขณะนี้บริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบเพื่อความปลอดภัยไปยังสถานที่พักพิงชั่วคราวตามแผนฉุกเฉินที่กำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้เร่งดำเนินการประเมินสถานการณ์ เพื่อที่จะเข้าไปดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนเมื่อปริมาณน้ำในเขื่อนดังกล่าวลดลง หากมีความคืบหน้าประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป" คำแถลงของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งฯ กล่าว 
    บริษัทยังเสริมด้วยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ยังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง มีความก้าวหน้าประมาณร้อยละ 90 และกำหนดจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2562
    ทั้งนี้ ตามข้อมูลในเว็บไซต์ของพีเอ็นพีซี เมื่อโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาด 410 เมกะวัตต์แห่งนี้แล้วเสร็จในปีหน้า ตามแผนการดำเนินโครงการ 27 ปีนั้น ไฟฟ้า 90% จะจำหน่ายให้ไทย ที่เหลืออีก 10% จะป้อนให้ลาว
    ด้านบริษัท เอสเค เอนจิเนียริงแอนด์คอนสตรัคชัน  ออกแถลงการณ์เช่นกัน ว่าบริษัทได้ส่งทีมรับมือวิกฤติมายังลาวแล้ว รายงานข่าวของสำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้เผยด้วยว่า บริษัทนี้กำลังจะส่งเฮลิคอปเตอร์หลายลำจากไทยไปลาว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่า บริษัท โคเรียเวสเทิร์นเพาเวอร์ ก็ร่วมในปฏิบัติการช่วยเหลือพร้อมกับอีกหลายบริษัทและองค์กร ด้วยการส่งเฮลิคอปเตอร์, เรือ และเจ้าหน้าที่กู้ภัย.