คำพูดผู้นำ


เพิ่มเพื่อน    

    ก็...เอาไปล้อกันขบขัน 
    ขนาดอ่านหนังสือวันละ ๘๐๐ บรรทัด ยังท้าชกปาก! 
    เป็นสไตล์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครับ ไป ครม.สัญจรทีไรมักได้ของแถมกลับบ้านเสมอ 
    เป็นขี้ปากของพวกต่อต้าน คสช. 
    ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผู้นำประเทศ มักถูกจับจ้องทุกคำพูด 
    กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ ห้าวตามแบบฉบับของทหาร แต่บางครั้งเยอะไปหน่อย กลายเป็นการสร้างปัญหาเรื่อง EQ ตามมา
    คล้ายกรณี ยิ่งลักษณ์สไตล์ พูดผิดเป็นรายวัน 
    ผิดมากจนกลายเป็นโลโก้ประจำตัว "หนูไม่รู้" 
    กรณีนี้สะท้อนถึงปัญหาด้าน IQ เพราะความรู้พื้นฐานบางอย่าง กลับพูดผิดๆ
    คอ-นก-รีต
    จังหวัดหาดใหญ่
    ประเทศซิดนีย์
    thank you three times
    ระดับผู้นำประเทศแม้จะมองเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่  
    นั่นคือ ความน่าเชื่อถือ
    ยิ่งลักษณ์ หมดความน่าเชื่อถือ เพราะพลาดเรื่องง่ายๆ และยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการเป็นนอมินีให้พี่ชายตัวเอง 
    การเป็นผู้นำบางครั้งไม่จำเป็นต้องประกาศว่าตัวเองรู้หมด ดีเลิศกว่าใคร เช่นกรณีที่ "บิ๊กตู่" ไปพูดที่วัดศรีนวลแสงสว่างอารมณ์ อุบลราชธานี 
    “วันนี้ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาใช้เสียงพูด ถ้าไม่รักนายกฯ ไม่เป็นไร แต่ผมจะทำให้ ถามว่ามีใครพูดได้อย่างผมบ้าง เพราะผมเองสามารถพูดต่อเนื่องได้ ๕ ชั่วโมง ที่พูดได้เพราะอ่านเยอะ และรู้ปัญหาทุกกระทรวง”
    เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่การพูด หรือการบอกว่ารู้ปัญหาหมดทุกกระทรวง
    รู้หมดแล้วแก้ปัญหาได้หรือไม่ 
    หรือพูดได้นาน แล้วปัญหาได้รับการแก้ไขหรือเปล่า 
    ที่ประชาชนต้องการคือ การแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง 
    แต่...เมื่อเทียบกับ ทักษิณสไตล์ ทั้ง "บิ๊กตู่-ยิ่งลักษณ์" กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย 
    หากจะไล่ดูคำพูดทักษิณ ที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง มันเยอะเหลือเกิน 
    เฉพาะที่กระเทือนต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น
    คำกล่าวหลังเหตุการณ์ปล้นปืนร่วม ๔๐๐ กระบอก และฆ่าทหาร ๔ นาย กองพันพัฒนาที่ ๔ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๗
    "บางคนที่มีอาวุธอยู่ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาล่าหาอาวุธก็ยังประมาท มีคลังอาวุธอยู่ แล้วประมาท และมีทหารอยู่ทั้งกองพันยังประมาทอยู่ ก็ถือว่า สมควร สมควร สมควรตาย" 
    และที่สร้างความแตกแยกมากที่สุดคือ คำกล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ จ.นครสวรรค์ ภายหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๘
    "ผมตรงไปตรงมา ผมไม่อ้อมค้อม นะครับ จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ นะครับอันนั้นก็เป็นเรื่องที่ แต่เราก็ต้องดูแลคนทั้งประเทศ แต่จังหวัดไหน เวลามันจำกัด ก็ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยก็ไปทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป แต่ไปทีหลัง ก็เรียงคิว ต้องเรียงกัน"
    สะท้อนถึงการมีปัญหาด้าน MQ ไร้ความฉลาดด้านศีลธรรม บ่มเพาะทัศนคติแบ่งแยกทางการเมือง  ที่เป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง
    สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"