24 ก.ค.61 - นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng กรณีที่ทางราชการขอร้องไม่ให้สื่อมวลชนไปรบกวนความเป็นส่วนตัวหรือสัมภาษณ์เด็ก ๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมี่ ๑๒ คน รวมทั้งบิดามารดาเพราะเกรงว่าจะมีผลเป็นการย้ำเตือนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดการกระทบเทือนทางจิตใจของเด็กๆ หรือบิดามารดาของเด็กๆ ได้นั้น
เห็นด้วยว่าเป็นการกระทำที่สมควรเพราะการที่เด็กๆ หรือบิดามารดาของเด็กต้องเจอคำถามของสื่อมวลชนประเภทไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เช่น ตอนเกิดเหตุการณ์ใหม่ยังหาตัวเด็กๆ และโค้ชไม่พบยังไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด ผู้สื่อข่าวไปถามบิดามารดาของเด็กบางคนว่า รู้สึกอย่างไรบ้างที่ยังไม่พบตัวเด็กๆ ? น้องมาเข้าฝันบ้างไหม ? คิดถึงน้องไหม ? หรือคำถามอื่นๆ ที่คนซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดถึงใจเขาใจเราย่อมไม่ถามกัน ย่อมก่อให้เกิดความไม่สบายใจแก้เด็กๆ และบิดามารดาของเด็กๆ อย่างแน่นอน
แต่การที่ข้าราชการบางท่านซึ่งไม่ได้หน้าที่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้เลยออกมาให้ความเห็นว่าเด็กๆ อาจจะเป็นโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับจิตใจตามทฤษฎีของฝรั่งชาวตะวันตกถึงกับอาจจะต้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปดูแลเด็กๆ แทนบิดามารดานั้น น่าจะเป็นการวิตกเกินกว่าเหตุมากเกินไปและไม่มีเหตุตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่จะต้องให้เจ้าหน้าของรัฐเข้าไปดูแลเด็กแทนบิดามารดา
เรื่องอาการของโรคที่เกี่ยวกับจิตใจย่อมขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนเป็นว่าเข้มแข็งมีสติสามารถควบคุมจิตใจของตนเองได้หรือเป็นคนประเภทอ่อนปวกเปียกเจอเหตุการณ์อะไรก็สติแตกควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้
สำหรับเด็กๆ ๑๒ คนและโค้ช ซึ่งเป็นเด็กในชนบทและเป็นนักกีฬามีผลทำให้ทุกคนว่ามีจิตใจเข้มแข็งและมีสติดีมากสามารถควบคุมจิตใจไม่ให้ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ทั้งการที่โค้ชแนะนำให้เด็กฝึกนั่งสมาธิคือการกำหนดจิตใจให้จับอยู่เพียงลมหายใจเข้าออกหรือสิ่งอื่นใดแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นๆ ในขณะนั้น นอกจากใช้พลังงานในร่างกายน้อยแล้วก็ยังทำให้เด็กๆ ทุกคนไม่ต้องคิดถึงหรือคลายวิตกกังวลในสิ่งที่ได้ประสบอยู่
อันจะเห็นได้จากเมื่อนักดำน้ำชาวอังกฤษไปพบเด็กๆ ซึ่งไม่ได้รับประทานอาหารมาแล้ว ๑๐ วัน ได้ดื่มเพียงน้ำที่หยดลงมาจากผนังถ้ำหรือหินงอกหินย้อยเท่านั้น แต่เด็กๆ ทุกคนไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกหรือแสดงถึงความอ่อนแอใดๆ ให้เห็นเลย ยังสามารถพูดคุยกับนักดำท่านนั้นได้อย่างคนปกติทั่วไป
ในวันที่ได้ออกจากโรงพยาบาลและได้ตอบคำถามของคุณสุทธิชัย หยุ่น เด็กทุกคนตอบเหมือนกันว่า ขณะอยู่ในถ้ำมีเรื่องที่กลัวคือกลัวแม่ด่าหรือถูกพ่อถล่มที่ไปเที่ยวถ้ำโดยไม่ได้บอกพ่อแม่ กับกังวลเรื่องจะทำการบ้านไม่ทันเพื่อน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ตอบว่ากลัวจะไม่ได้ออกจากถ้ำ แสดงว่าทุกคนไม่เคยคิดกลัวเลยว่าจะไม่ได้ออกจากถ้ำ
ย่อมเห็นได้ว่าเด็กๆ ทุกคนมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก ๆ และมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งยังมากกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนโดยเฉพาะประเภทพวกวิตกจริตด้วย เชื่อได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทำให้จิตใจหวั่นไหวหรือนำมาคิดวิตกกังวลจนก่อให้เกิดอาการต่างๆ ทางจิตใจ กับการที่บิดามารดาก็ได้เอาใจใส่ดูแลให้ความรักความอบอุ่นตลอดมาและหลังจากนี้อาจมากขึ้นกว่าเดิมอีกย่อมจะมีผลต่อจิตใจของเด็กๆ ด้วย
ทั้งแพทย์โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ได้แถลงยืนยันหลายครั้งแล้วว่า เด็กๆ ทุกคนมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แสดงว่าจิตแพทย์และนักจิตวิทยาของโรงพยาบาลได้พูดคุยสอบถามเรื่องราวต่างๆ จากเด็กๆ แล้ว คงพบว่าเด็กๆ มีความรู้สึกนึกคิดหรือจิตใจปกติ ไม่ได้วิตกกังวลอะไร จึงได้แถลงยืนยันเช่นนั้น
จึงเห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าต้องเป็นห่วงว่าเด็กๆ ทั้งหมดหรือบางคนจะมีอาการเป็นโรคอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับจิตใจ เชื่อว่าทุกคนยังเป็นเด็กๆ ที่สดใส ซื่อ ๆ ตามประสาเด็กในชนบทที่คนไทยกับคนทั้งโลกให้ความสนใจและรักเอ็นดูตลอดไป ทั้งเมื่อโตขึ้นพวกเขาก็จะต้องเป็นคนดีของสังคมไทยและสังคมโลกด้วย
ก่อนนี้นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ออกมาระบุว่า หากผู้ปกครองไม่ให้ความร่วมมือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กมีอำนาจแยกตัวเด็กจากครอบครัวของเด็กเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |