22 ก.ค.61 - หลังนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พ้นโทษออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้โพสต์ข้อความ “30 วันในคุก ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน”ลงในเฟซบุ๊กแฟนเพจว่า “คนเขาบอกว่า "คนเรานั้นไม่ตายก็ติดคุก"
ชีวิตผมผ่านเรื่องเป็นเรื่องตายมาหลายครั้งหลายหนยังเอาตัวรอดมาได้ แต่เรื่องคุกเรื่องตารางนั้นไม่รอด รอบนี้นับได้เป็นรอบที่สาม
รอบแรก ประกันตัวไม่ได้เมื่อปี 46
รอบสอง คดีรื้อบาร์เบียร์เข้าไปติดปี 59 ได้อภัยโทษ 2 ครั้งในปีเดียวกัน ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โทษ 2 ปี ติดแค่ 10 เดือน
รอบนี้รอบที่สาม คดี ป.ป.ช. ติดอยู่ 30 วันเต็ม
ผมรักความยุติธรรมของประเทศนี้ เวลาสู้คดีหลักการง่ายๆ ที่ใช้อยู่เสมอคือ "อย่าเชื่อใครแม้แต่ทนาย" เชื่อตัวเองดีที่สุด เพราะมีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ติดคุก ไม่มีญาติ ไม่มีทนายไปติดคุกร่วมกับเรา หากทำผิดอย่าคิดว่าคำแก้ตัวของเรานั้นดีหนักหนา โกหกศาลก็เหมือนเด็กโกหกผู้ใหญ่ ฟังแล้วเหมือนจะดูดี แต่ศาลไม่เชื่อ ดังนั้นวิธีการที่ผมแนะนำคือ "รับสารภาพ" อย่างน้อยศาลมีความเมตตาหลงเหลือให้กับผู้กระทำความผิดแล้วยอมรับผิด โทษหนักก็เป็นเบา จะติดเต็มหรือลดกึ่งหนึ่งก็อยู่ตรงนี้ล่ะครับ
คดี ป.ป.ช. ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันนัดมีเอกสารมาให้เซ็น 2 ใบ ใบหนึ่งรับสารภาพ อีกใบปฏิเสธ ให้ผมตัดสินใจ ผมเซ็นรับสารภาพทันที นั่นคือวิธีการเอาตัวรอดเมื่อไพ่ในมือไม่เหลือให้เล่นอีกแล้ว กระบวนการยุติธรรมเดินมาถึงปลายทาง ดื้อดึงต่อไปมีแต่จะทำให้คดีรกศาลและโทษก็จะไม่ได้ลด
"ติดคุกยังมีวันออก" แน่นอนว่าลำบากแน่ แต่หากทำใจได้ ตัดเรื่องภายนอกทิ้ง ไม่ว่าเมียจะเลี้ยว (เมียหนี) ธุรกิจจะพัง หรือมีใครจะตรอมใจ คิดแค่เอาชีวิตเหลือรอดออกไปได้ก็พอ
อยู่คุกต้อง "อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้" กินให้น้อย ทำใจให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวางทุกอย่าง เป็นม็อตโต้ของผมที่ใช้เมื่อเวลาอยู่ในคุก
ครั้งนี้ 30 วันที่ผมติดคุกถือโอกาส "ดูงาน" ทั้งภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรือนพยาบาล และโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้พบได้เห็น "พุทธะอิสระ" มาหาหมอที่โรงพยาบาลทุกวัน เพราะต้องมาทำกายภาพบำบัด แกบอกว่าปวดหลังเดินไม่ไหวต้องนั่งรถเข็น แต่พอเข้าห้องน้ำเห็นลุกเดินปร๋อ หลังๆพอรู้ว่าชูวิทย์อยู่เลยพาลไม่ยอมมาโรงพยาบาลแล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่า "อย่าให้ชูวิทย์เห็นนะ" ไม่รู้ว่าแกจะกลัวอะไรผมหนักหนา
ส่วนบรรดา "อดีตเจ้าคุณวัดดัง" ทั้งหลาย ที่โดนคดี "เงินทอนวัด" ผมเคยบอกแล้วว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ เมื่อเข้าคุกต้องกองเอาไว้ที่หน้าประตูเรือนจำ หลายคนมาหาหมอที่ พ.บ. (เรือนพยาบาล) พยาบาลเขายกมือไหว้กันหน้าสลอน อดีตพระก็ไม่ไหว้ตอบ เพราะยังคิดว่าตัวเองเป็นพระ แตะต้องตัวก็ไม่ได้ จะเอาอะไรให้ต้องมีผ้าประเคน พุทธโธ่พุทธถังเอ๋ย ยังไม่ปล่อยวาง คงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะรู้ซึ้งถึงสถานะ "นักโทษ"
แล้วยังไปพบอดีตรัฐมนตรี "คดีค้าข้าว" แกบอกว่าสู้อุทธรณ์อยู่ ผมก็ได้แต่หวังว่าหนักจะเป็นเบา ในใจลึกๆ คนประสบการณ์สูงอย่างผมทั้งการเมืองและสื่อมวลชนบอกได้คำเดียวว่าคงลำบาก ส่วนเวลาอยู่ในคุกก็ไม่มีใครจำกันได้ว่าใครเป็นใคร ไม่ว่ารัฐมนตรีหรือนายตำรวจใหญ่ ถึงขนาดเพื่อนนักโทษของผมยังไปใช้อดีตรัฐมนตรีให้เดินเอกสารเยี่ยมญาติ แหม มันช่างไม่รู้เอาเสียจริงๆ
วันนี้ออกจากคุกมีนายตำรวจใหญ่ให้เกียรติมารอรับผมแต่เช้า พาผมไปส่งถึงบ้าน แถมยังผูกข้อมือผมด้วยสายสิญจน์ของครูบาบุญชุ่ม สมัยก่อนผมทะเลาะกับตำรวจ แต่เที่ยวนี้ผมรักตำรวจคนนี้จริงๆ ใจถึงและไม่สนใจใคร ต้องนับถือน้ำใจของท่าน
หากมีข่าวอะไรเกี่ยวกับยาเสพติดที่ฟังมาในคุกจะรีบไปบอก ท่านเป็นคนผลงานเยอะ ก่อนเกษียณคงมี "จัดหนัก" ล็อตใหญ่ทิ้งท้ายให้เป็นที่ร่ำลือ เสียดายอย่างเดียวไม่น่ารีบเกษียณ
ผู้สื่อข่าวถามว่าบทบาทต่อไปจะทำอะไร ยังคงจัดรายการทีวีอยู่หรือไม่ ต้องขอบอกว่า มาดูงานเดือนนึงผมแข็งแรงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ เหมือนได้มาฟื้นฟูร่างกายชาร์จแบตใหม่ เพราะกรมราชทัณฑ์ดูแลผมดี และได้เห็นอะไรในคุกที่คนภายนอกไม่เคยได้เห็น ได้รับรู้ หรือแม้แต่เคยได้ยิน
"ลูกผู้ชาย ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ต้องมานะกอบกู้เชิดชูตน เกิดเป็นคนเจ็บแล้วจำเป็นตำรา"
คอยติดตามแมวเก้าชีวิตอย่างชูวิทย์ต่อไป”
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |