เลขาธิการ ป.ป.ช.ถึงกับพ้อ วอนสื่อหยุดถามนาฬิกาหรู “บิ๊กป้อม” สักวันได้ไหม ขอให้ใจเย็นๆ กำลังทำงานอยู่ ศาลฎีกาเชือด “ธาริต” แจงทรัพย์สินเป็นเท็จสมัยนั่งอธิบดีดีเอสไอ ซุกเงิน-หุ้น-ที่ดินในบัญชีเมีย-หลาน จำคุก 3 เดือนปรับแค่ 5 พันบาท โดยให้รอลงอาญา 2 ปี พ่วงห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี

    เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ม.ค. ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู 25 เรือนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวมใส่ แต่ไม่มีการแจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
    โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวปฏิเสธว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ และเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลและ คสช.สะดุดแต่อย่างใด
    ขณะที่ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างให้สำนักงานรวบรวมพยานหลักฐานให้เรียบร้อยก่อน คาดว่าใช้เวลาไม่นาน ขอให้ใจเย็นๆ กันก่อน ขณะนี้เป็นขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สิน ซึ่งคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว ส่วนที่สื่อสังคมออนไลน์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนาฬิกาหรู 25 เรือนแล้วนั้นก็จะนำมาตรวจสอบทั้งหมด ซึ่งต้องขอบคุณสื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ให้ข้อเท็จจริงกับ ป.ป.ช. ถือเป็นความร่วมมือในการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน 
    เมื่อถามว่า มีหลักฐานเพียงพอเสนอต่อที่ประชุม ป.ป.ช.แล้วหรือยัง นายวรวิทย์หัวเราะพร้อมกล่าวว่า ถามเหมือนเดิมเลย ต้องให้สำนักงาน ป.ป.ช.รวบรวมข้อมูลก่อน ทั้งนี้ ระหว่างการให้สัมภาษณ์ นายวรวิทย์พยายามเลี่ยงตอบคำถามในกรณีดังกล่าว โดยถึงกับพ้อว่า "ไม่ถามสักวันได้ไหม"  
    ส่วนนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อเวลา 08.00 น. ว่า กระทรวงดิจิทัลเซ็นเซอร์ข่าวจากเว็บไซต์สื่อของอังกฤษที่ได้นำเสนอข่าวนาฬิกาฉาวของ พล.อ.ประวิตร ในหัวข้อนายพลโรเล็กซ์ ซึ่งข่าวดังกล่าวไม่มีส่วนใดที่บิดเบือนหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ถ้าจะเป็นภัยก็แต่เฉพาะ พล.อ.ประวิตร และรัฐบาล คสช.เท่านั้น จึงคิดว่ารัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลควรสั่งการให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงเหตุผลต่อสาธารณะ และถ้าเจ้าหน้าที่ปิดข่าว เพียงเนื่องจากมี คสช.ขอมา ก็ควรปรับปรุงระเบียบการทำงาน และลงโทษผู้ที่ใช้อำนาจทางราชการไปปิดกั้นสิทธิพื้นฐานของประชาชนที่จะได้รับทราบข้อมูล
    “ในยุคที่รัฐบาล คสช.โฆษณา Thailand 4.0 นั้น พฤติกรรมของกระทรวงดิจิทัลต้องไม่กลับไปเป็นยุคมืดแห่งข่าวสาร 0.0 เหมือนช่วงเวลาอัปยศของประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีต” นายธีระชัยโพสต์ไว้
    ทั้งนี้ เมื่อได้ตรวจสอบเว็บ http://www.dailymail.co.uk โดยตรง จะไม่สามารถเข้าไปเปิดดูได้ เพราะถูกปิดกั้นมาตั้งแต่ยุคกระทรวงไอซีที เนื่องจากมีบทความหมิ่นสถาบัน แต่หากใช้เสิร์ชเอนจิ้นทั้งจากกูเกิลและยาฮู หรือเปิดตามลิงค์ http://www.dailymail.co.uk/news/article-5279717/Thai-junta-number-two-seen-25-watches-worth-1-2m.html ก็ยังคงเข้าไปดูเนื้อหาได้ตามปกติ
    ขณะที่ช่วงเช้าที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวอิสระ พร้อมนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ได้เดินทางนำนาฬิกา 3 เรือน และโปสเตอร์คอลเลคชั่นนาฬิกา 25 เรือน มามอบให้ พล.อ.ประวิตร เพราะ พล.อ.ประวิตรจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก และคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แต่ปรากฏว่าขณะที่นายเอกชัยกำลังโชว์นาฬิกาอยู่ นายฤทธิไกร ชัยวรรณศาสน์ ชาว จ.จันทบุรี อายุ 56 ปี ได้เดินเข้ามาจะทำร้ายนายเอกชัยและนายโชคชัย แต่เจ้าหน้าที่สามารถล็อกตัวเอาไว้ได้ทัน และจากการตรวจตัวพบมีมีดพกแบบพับยาวขนาด 3 นิ้ว ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาพกมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อนนำตัวนายฤทธิไกรไป สน.ดุสิต ส่วนนายเอกชัยและนายโชคชัย เจ้าหน้าที่เชิญตัวเข้ามาในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ก่อนเชิญตัวไปพูดคุยทำความเข้าใจที่ สน.ดุสิตด้วย
    วันเดียวกันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.177/2560 ที่ ป.ป.ช.เป็นผู้ร้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้คัดค้าน กรณีแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.2542 โดยในระหว่างดำรงตำแหน่งไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่เป็นเงินฝากธนาคาร 4 บัญชี, เงินลงทุนในหุ้นบริษัท 2 แห่ง, สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน 2 แปลง ของตนเองและนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรสของผู้คัดค้าน และเงินฝากธนาคารอีก 2 บัญชี ที่อยู่ในความครอบครองดูแลของนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานของนางวรรษมล 
    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รายการทรัพย์สินประกอบด้วยเงินฝากธนาคาร 4 บัญชี ได้แก่ บัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงไทย สาขาซอฟต์แวร์ปาร์คราวกว่า 2 แสนบาท, บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 33 ราวกว่า 14,000 บาท, บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารธนชาติ สาขาบางซื่อ ราวกว่า 1,300 บาท และบัญชีฝากประจำ ธนาคารธนชาติ สาขาชิดลม ราวกว่า 4.9 ล้านบาท ส่วนเงินฝากธนาคารอีก 2 บัญชีที่อยู่ในความครอบครองดูแลของนายปิยฤกษ์ ได้แก่ บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารธนชาติ สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารบี ราวกว่า 35,000 บาท และบัญชีฝากประจำ ธนาคารธนชาติ สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารเอ ราวกว่า 3.18 ล้านบาท และเงินลงทุนในหุ้นบริษัท 2 แห่ง ของนางวรรษมล ราวกว่า 6 ล้านบาท พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านพื้นที่ 900 ตารางเมตร ราคาประเมินกว่า 12 ล้านบาท บนที่ดินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ประมาณ 2 ไร่ มูลค่าอีกราวกว่า 2,700,000 บาท ป.ป.ช.ได้แจ้งให้ผู้คัดค้านชี้แจงแล้ว แต่ผู้คัดค้านเพิกเฉย 
    “ผู้คัดค้านเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง มีหน้าที่ตามกฎหมายในการแสดงความโปร่งใสในการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน รวมถึงทรัพย์สินที่มอบหมายให้คนอื่นดูแลทั้งทางตรงและทางอ้อม การที่ไม่แสดงบัญชีรายการทรัพย์สินดังกล่าวต่อผู้ร้องกรณีทุก 3 ปีที่อยู่ในตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ เป็นการปกปิดไม่แสดงรายการแห่งทรัพย์สินของตนเองและนางวรรษมล เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ร้องตรวจสอบพบ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น”
     องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ พิพากษาห้ามมิให้นายธาริตดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 3 เม.ย.2560 อันเป็นวันที่นายธาริตพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ และมีความผิดตามมาตรา 119 ให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่นายธาริตให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้กำหนด 2 ปี.