เร่งเครื่องพลังดูด! สามมิตรนัดถกทุกวันจันทร์ ฟื้นประชานิยม/ทาบกปปส.


เพิ่มเพื่อน    

    “ประวิตร-ศุภชัย” ประสานเสียง ป้อง “สามมิตร” เดินสายดูด ชี้ยังเป็นวุ้นไม่ใช่พรรคการเมือง สมศักดิ์คึกสั่งถกทุกวันจันทร์ ปลายเดือนนัดหารือใหญ่ พร้อมปลุกผีนโยบาย “โคล้านตัว-ข้าวตันละ 8 พันบาท” ถึงคิวทาบ กปปส. “ภิรมย์” เข้าพบศิษย์เอกหลวงปู่พุทธะอิสระ อ้างสลายสีเสื้อมุ่งหน้าปรองดอง พ่วงขอใช้บ้านทรงไทยเป็นที่เคลื่อนไหวของกลุ่ม “แรมโบ้อีสาน” เตรียมถอนคำสาบานย่าโมลงการเมือง แฉช่วงตกระกำลำบากเพื่อไทยไม่เคยเหลียวแล 
    เมื่อวันพฤหัสบดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ว่า ลงพื้นที่มาตลอด 2-3 ปี พอมาลงตอนนี้ไม่ได้แล้วหรือ ไปก็ไม่ได้ไปพบอดีต ส.ส. แต่นายกฯ ไปพบประชาชน ติดตามงานที่สั่งการไว้ และในส่วนของตนก็ลงพื้นที่ไปดูงานที่รับผิดชอบ เช่น ไปดูการทำงานของตำรวจ รวมถึงไปดูทหารและกระทรวงมหาดไทย แต่เขาไม่สนใจเอง
    เมื่อถามว่า จ.อุบลราชธานีเคยเป็นพื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดงและมีความขัดแย้งทางการเมืองสูง ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่เป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตรตอบว่า เรียบร้อยดี ทุกพื้นที่ไม่มีปัญหาอะไร มีแต่ในพื้นที่ กทม. ยืนยันว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้ยังไม่มีการรวมกลุ่มและเดินขบวนชุมนุม จึงยังไม่มีอะไรวิตกกังวล เพราะเขาเชื่อฟังและเชื่อมั่นว่าคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เรายังไม่ปลดล็อก หากจะทำกิจกรรมอะไรก็ต้องขออนุญาตจาก คสช.  
“ไปได้ทุกภาค ก็เป็นคนไทย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” พล.อ.ประวิตรยืนยัน
    ถามถึงกำหนดการลงพื้นที่ ครม.สัญจรครั้งนี้ มีการยกเลิกกำหนดการพบผู้นำท้องถิ่น ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการพบทุกจังหวัด เป็นการหลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ได้หลบ เขามาพบก็พบ ไม่มาพบก็ไม่พบ ทุกครั้งเขาขอพบ เราก็พบ เขาไม่ขอพบก็ไม่พบ เพราะไม่ได้มีอยู่ในกำหนดการ ส่วนครั้งนี้ไม่รู้ เท่าที่ดูก็ไม่มี
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวในเรื่องนี้ว่า  ถ้ารัฐบาลคุยกับนักการเมือง สื่อก็จะมาด่า การเมืองมันมีอยู่ 2 ภาค คือภาคบริหารราชการแผ่นดินกับการเมืองภาคการเมือง ซึ่งเป็นกิจกรรมของคนเล่นการเมือง โดยอาจไปต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน แต่การไปลงพื้นที่ไม่ว่ารัฐบาลใด ถือเป็นการเมืองภาคบริหาร คือลงไปทำงาน แต่จะลงไปคุยระหว่างที่ลงพื้นที่หรือที่สื่อเรียกว่าไปจีบ ดูด ถือเป็นกิจกรรมส่วนตัว จะบอกว่ารัฐบาลลงไปทำไม่ได้ แต่ปัญหาคือตัวบุคคลที่ลงไปนั้นมันซ้ำกัน ซึ่งจะเป็นปัญหามากในรัฐบาลเลือกตั้ง เช่น การวิจารณ์ว่าการที่นายกฯ หาเสียงสามารถทำอะไรในเวลาราชการได้หรือไม่ได้บ้าง
    ตีมึนยกเลิกคุยท้องถิ่น
    “การลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจรของรัฐบาล มีเป้าหมายหลักคือประชุม ครม.รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน องค์กรในท้องที่ ซึ่งหลังประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สุพรรณบุรีและพระนครศรีอยุธยา ก็มีคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ฟังเสียงนักการเมืองและอดีตนักการเมืองบ้าง เพราะรู้ปัญหา และรู้ว่าที่ผ่านมาทำไมถึงแก้ปัญหาไม่ได้ การประชุม ครม.สัญจรที่สุโขทัยจึงเป็นครั้งแรกที่นัดหมายนักการเมืองมาพูดคุย นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนักการเมืองท้องถิ่นประมาณ 30 คน พูดคุยจบก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเขาจะทำกันเขาคงไม่ทำอย่างประเจิดประเจ้อ เพราะไปทำที่อื่นก็ได้ แต่ครั้งนี้ที่ไม่มีกำหนดการพบผู้นำท้องถิ่นและนักการเมือง ผมไม่รู้ว่าสาเหตุอะไร” นายวิษณุกล่าว
    เมื่อถามว่า การยกเลิก เพราะรัฐบาลหลบเลี่ยงเสียงวิจารณ์หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ทราบ อาจจะพบแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์ เพราะแต่ละคนพูดได้ไม่กี่คำ ตรงนี้ไม่ทราบ แต่ทุกครั้งที่พบกัน มีนักการเมืองมาร่วมเยอะ แต่รัฐบาลมีเวลาน้อย นักการเมืองก็กลับไปบ่นว่ามาทั้งทีแต่ไม่ได้พูดอะไร รู้อย่างนี้ไม่มาดีกว่า ดังนั้นจึงไม่จัดดีกว่า
    สำหรับกระแสข่าวการดูดอดีต ส.ส.เข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ดูดอะไร ใครดูด ไม่รู้ ใครเป็นคนคิดเรื่องดูด แล้วใครทาบทาม พรรคพลังประชารัฐมีอยู่ที่ไหน เป็นของใคร เราไม่รู้เลย ก็คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เขาว่ากันไป ส่วนการย้ายพรรคก็เป็นเรื่องธรรมชาติของอดีต ส.ส. เพราะช่วงนี้อยู่ในช่วงของการเมือง ทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้
    พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ แกนนำกลุ่มสามมิตร หารือเครือข่ายชาวนา ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ ว่าไม่รู้ เคลื่อนไหวไปทำไม เรื่องที่เขาสัญญาก็ต้องไปถามเขา มาถามตนเองจะรู้ไหม ส่วนการเคลื่อนไหวจะถือว่าผิดคำสั่ง คสช.หรือไม่นั้น เขาคุยกัน เป็นเรื่องของการพูดคุย ยังไม่ได้ทำอะไร และยังไม่เป็นพรรคการเมือง
    ขณะที่นายวิษณุปฏิเสธไม่ขอออกความเห็นในเรื่องนี้ ส่วนจะเชื่อมโยงว่าเป็นการสัญญาของรัฐบาลหรือไม่ในการขายข้าวตันละ 8,000 บาทนั้น ตอบไม่ถูก เพราะไม่รู้เรื่อง
    ส่วนนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า ขณะนี้มีคำร้องเรียนของนายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ยื่นคำร้องเข้ามา ซึ่ง กกต.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่เบื้องต้น โดยทุกคนที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองสามารถหาผู้ร่วมก่อตั้งได้ ไม่เป็นความผิด ส่วนการเสนอสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนนั้น ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อมเป็นความผิด แต่ตอนนี้ยังไม่ปรากฏว่าการทาบทามมีการเสนอหรือสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน แต่ กกต.กำลังตรวจสอบ ถ้าใครมีหลักฐานให้ส่งมา และเมื่อดำเนินคดีเสร็จแล้วผู้แจ้งเบาะแสก็จะได้รับรางวัล
    “ที่กลุ่มสามมิตรประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อไป ถือเป็นสิทธิ แต่การสนับสนุนนั้นอย่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมือง ส่วนใครที่กล่าวหาต้องระมัดระวัง อย่ากล่าวหาเท็จ เพราะจะถูกตัดสิทธิ์การลงสมัครรับเลือกตั้ง” นายศุภชัยกล่าว
    กกต.ชี้สามมิตรยังเป็นวุ้น
    เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรคู่ขนานไปกับการลงพื้นที่ของนายกฯ จะเข้าข่ายผิดกฎหมายใดหรือไม่ นายศุภชัยกล่าวว่า ต้องแยกแยะ การลงพื้นที่ของฝ่ายบริหารมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าใครมีหลักฐานว่าสองฝ่ายนี้ร่วมมือกันให้เงินเพื่อตอบแทนให้เป็นสมาชิกพรรค ก็ส่งมาให้ กกต.ได้ แต่ขณะนี้พรรคก็ยังไม่ได้ตั้ง
    ด้านแหล่งข่าวจากแกนนำกลุ่มสามมิตรกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มว่า จากนี้แกนนำจะพบปะพูดคุยกับบรรดาอดีต ส.ส.ที่ตัดสินใจย้ายมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้าทุกวันจันทร์ โดยอาจใช้สถานที่ร้านกินเส้น ย่านสนามบิน หรือสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สท ซึ่งขณะนี้ถือว่าอยู่ในขั้นตอนการวางนโยบายต่างๆ ที่คาดว่าจะใช้หาเสียง โดยกลุ่มสามมิตรจะให้ความสำคัญกับการวางนโยบายระดับรากหญ้าเพื่อดูแลประชาชน รวมถึงเกษตรกร ซึ่งมี 2 นโยบายแล้ว คือนโยบายโค 1 ล้านตัว และผลักดันราคาข้าวนาปรังที่ราคาไม่ตํ่ากว่า 8,000 บาท 
    “โฆษกของกลุ่มสามมิตรคาดว่าจะเป็นนายธนกร วังบุญคงชนะ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากนายสมศักดิ์ และในช่วงปลายเดือน ก.ค.นั้น กลุ่มสามมิตรจะนัดพบกันครั้งใหญ่ของสมาชิกกลุ่มสามมิตรที่สนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สทด้วย”
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มสามมิตร พบว่า นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขาฯ กลุ่มสามมิตร ได้เดินทางมาหารือกับนายสิระ เจนจาคะ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หนึ่งในอดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และศิษย์เอกอดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือในการปรองดองชาติที่บ้านทรงไทย แจ้งวัฒนะ
    นายภิรมย์กล่าวว่า กลุ่มสามมิตรยึดแนวทางสร้างความปรองดอง ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ได้เดินสายพูดคุยกับกลุ่มการเมืองอื่นๆ โดยไม่เลือกฝ่าย จึงได้มาพบนายสิระ ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนเก่าที่เคยต่อสู้ทางการเมืองเหมือนกัน และที่สำคัญเป็นผู้ที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลวงพ่อพุทธะอิสระ ซึ่งกลุ่มสามมิตรตั้งใจจะเดินทางมาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่ม กปปส. ว่าคิดเห็นอย่างไรบ้างที่จะให้ประเทศเดินทางไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เพราะจากการที่เดินทางไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในภาคอีสาน ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยจะจับมือกันเดินหน้า 
    “วันนี้ก็ยินดียิ่งที่ได้มาพูดคุยกับอีกฝั่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่ม กปปส. นอกจากนี้ผมเห็นว่าที่บ้านทรงไทย แจ้งวัฒนะ ซึ่งเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวสำคัญของ กปปส.มาก่อน จึงอยากมาขอใช้สถานที่บ้านทรงไทย แจ้งวัฒนะ เป็นศูนย์ประสานงานกลุ่มสามมิตรในพื้นที่กรุงเทพฯ ด้วย” นายภิรมย์กล่าว
    ด้านนายสิระกล่าวว่า กลุ่มสามมิตรนำเรื่องการปรองดองมาพูดคุย เพราะเห็นด้วยที่จะมีการสลายสีเสื้อต่างๆ เราควรจะเป็นเสื้อสีเดียวกันทั้งประเทศ เพราะตอนนี้ประเทศชาติต้องการการปรองดอง เพื่อพัฒนาประเทศสู่ความเจริญในทุกๆ ด้าน ส่วนกลุ่ม กปปส.ในกรุงเทพฯ นั้น หากกลุ่มสามมิตรมาเชิญชวนให้ร่วมทำงานด้วย ก็ยินดีและพร้อมเสมอ เพราะเราก็ต้องการให้เกิดความปรองดองของคนใน กทม.เช่นกัน 
“ที่กลุ่มสามมิตรจะขอใช้สถานที่บ้านทรงไทย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยินดีให้ใช้เต็มที่ เพราะครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้ก็เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ของกลุ่ม กปปส.เคลื่อนไหวเพื่อประเทศมาแล้ว ครั้งนี้หากกลุ่มสามมิตรจะใช้ทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้งก็ยินดียิ่ง”นายสิระกล่าว
ซัดยามยากไม่เคยดูแล
    ส่วนนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำ นปช. กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ที่ระบุว่าเคยสาบานต่อหน้าย่าโมแล้วว่าจะไม่เล่นการเมือง แต่กลับไปร่วมพรรคกับกลุ่มสามมิตรและพรรคพลังประชารัฐว่า ขณะที่กล่าวคำสาบานต่อหน้าย่าโม นายณัฐวุฒิได้มาฟังคำพูดหรืออย่างไร และที่ผ่านมาได้ยื่นใบลาออกจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ มิ.ย.2557 ไม่ได้เกี่ยวข้องมานานกว่า 5 ปีแล้ว ผู้ใหญ่ในพรรคก็ไม่เคยเห็นคุณค่า ไม่เคยติดต่ออะไรมาเลยในยามตกระกำลำบากตลอดเวลา 4-5 ปี ซึ่งตนเองได้ลงพื้นที่ตลอด ไม่เคยทอดทิ้งประชาชน มาวันนี้ทนกระแสเรียกร้องให้กลับมาทำงานการเมืองไม่ไหว ประกอบกับมีผู้ใหญ่เห็นคุณค่าและอยากให้กลับมาช่วยกันทำประโยชน์ให้บ้านเมือง ซึ่งก็พร้อมร่วมงานกับกลุ่มสามมิตร เพราะเห็นว่าบ้านเมืองสงบสุขแล้ว
     “ในเร็ววันนี้ผมจะไปจุดธูปบอกกับย่าโมว่าผมขออนุญาตถอนคำสาบานกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้งเพื่อรับใช้ประชาชน ซึ่งเชื่อว่าย่าโมเข้าใจและไม่มีปัญหา เพราะผมคือลูกหลานย่าโม เป็นคนโคราชโดยกำเนิด ส่วนคนที่จะไม่เข้าใจและมีปัญหาคือคนที่ไม่อยากให้ผมกลับมาเล่นการเมือง และพยายามหาข้ออ้างมาโจมตีต่างๆ นานา ผมจะกลับมาเล่นการเมืองแน่นอนและอธิบายเหตุผลให้ประชาชนเข้าใจได้ ไม่ต้องมาห่วงหรือมาแคร์อะไรกับผม”
    นายสุภรณ์ยังกล่าวว่า ขอร้องให้ทุกกลุ่มทุกสีลืมเรื่องอดีตที่เจ็บปวดไปเสีย แล้วหันหน้ามาปรองดองร่วมมือหาทางออกให้กับประเทศชาติ และสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และขอให้ทุกคนเห็นแก่แผ่นดินไทย ฉะนั้นนับแต่วันนี้ จงอย่าแบ่งแยกสีแยกกลุ่มกันอีกเลย มาร่วมมือกันทำสิ่งเหล่านี้ดีกว่า
    ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องแสดงความเห็นเพิ่มเติมในเรื่องดูด เพราะพูดชัดเจนแล้วว่าการนำผลประโยชน์หรืออะไรมาแลกเปลี่ยนกันทางการเมืองเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีแน่นอน มีแต่ทำให้การเมืองแย่ลง และไม่อยากไปต่อปากต่อคำ ต่อล้อต่อเถียงกับใครในเรื่องนี้ 
    “ผมมองว่าประชาชนก็คงเบื่อหน่าย ถ้าคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมือง ใครจะอยู่ที่ไหนแล้วได้ดี ใครจะอยู่ที่ไหนแล้วได้ตำแหน่ง เขาก็อยากจะเห็นการเมืองเป็นเรื่องเขามากกว่า ว่าตกลงเศรษฐกิจถ้าจะทำให้มันดีขึ้นกว่าปัจจุบัน หรือทำให้เท่าเทียมกันกว่าปัจจุบันจะทำอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว 
ไม่ให้ราคา”แม้ว-ปู”
    พล.อ.ประวิตรยังตอบคำถามถึงความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในต่างประเทศจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยของไทยหรือไม่ว่า ต้องให้ประชาชนเป็นคนดู เพราะว่าเขาหนีไป ส่วนการติดตามตัวนั้น ทางตำรวจและอัยการเขาทำอยู่แล้ว
“ผมไม่คิด ผมเฉยๆ ก็แล้วแต่ ถ้าคุณจะคิดก็คิด  ผมไม่รู้ว่าเขาจะไปทำอะไร” พล.อ.ประวิตรกล่าวตอบคำถามถึงการเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯ จะทำให้บ้านเมืองบ้านเราให้กลับไปเป็นแบบเดิมหรือไม่ 
    ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบคลิปวิดีโอของนายทักษิณ ที่ประกาศว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า เข้าข่ายชี้นำ ครอบงำพรรคหรือไม่ นายศุภชัยกล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าพูดกับใคร กับกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ เพราะจะเป็นความผิดได้ก็ต่อเมื่อพรรคให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชี้นำ ครอบงำ แต่คำพูดของนายทักษิณจะเป็นการชี้นำหรือไม่ ต้องตรวจสอบก่อน ในชั้นนี้จึงอยู่ในระหว่างการติดตาม ยังไม่มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง อีกทั้งพรรคการเมืองก็ยังประชุมไม่ได้ จึงต้องดูข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นไปขนาดนั้น แต่ถ้าใครมีหลักฐานหรือเบาะแส สามารถส่งมาที่ กกต.ได้ และหากนำไปสู่การฟ้องร้อง ผู้ที่เอาหลักฐานมาให้จะได้รางวัลในการชี้ช่องเบาะแส  
    “ชั้นนี้ยังเป็นเพียงการกล่าวหาลอยๆ ซึ่งตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 101 การกล่าวหาด้วยความเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน  1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง หากเป็นการกระทำของพรรคการเมือง ก็ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค” นายศุภชัยระบุ
    สำหรับความคืบหน้าในการแก้ไขคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 นั้น นายศุภชัยกล่าวว่า กกต.ได้เตรียมระเบียบ ประกาศต่างๆ ไว้รองรับแล้ว เมื่อ กกต.ชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ ก็ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องมีการส่งมอบงานใดๆ     
ด้านนายวิษณุ กล่าวถึงความชัดเจนของรูปแบบการทำไพรมารีโหวตว่า เรากำลังดูว่าจะทำอย่างไรให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้เตรียมทางออกทุกทางไว้แล้ว และคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแนวทางทั้งหมดเกือบเสร็จแล้ว คิดว่าจะหาข้อสรุปได้ก่อนการหารือกับพรรคการเมืองรอบสอง 
    “ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เพราะการจะทำไพรมารีโหวตได้ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งก่อน และเมื่อแบ่งเขตเสร็จแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเอาทั้ง 5 แนวทางไปฟังความเห็นพรรคการเมืองอีก ไม่ใช่รัฐบาลไม่แคร์หรือไม่แยแส แต่พรรคการเมืองได้สะท้อนความต้องการของตัวเองมาหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช ย้ำถามไปหลายหน แต่ไม่ทราบว่าเรื่องดังกล่าวจะได้คำตอบสุดท้ายเมื่อใด” นายวิษณุกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"