ทักษิณดิ้นสั่งดูดคืน ทาบชทพ.อุบลฯสู้ก๊วนสามมิตร 'เต้น'ตัดญาติแดงเทียมย้ายขั้ว


เพิ่มเพื่อน    

    “ประยุทธ์” อารมณ์บูด ส่ายหน้าไม่ตอบ ครม.สัญจรมีนัยแฝงการเมือง “วิษณุ” เผยทำอะไรก็ถูกติง ฝุ่นตลบ “ทักษิณ” ใช้ตาต่อตาฟันต่อฟันก๊วนสามมิตร สั่งดูดคืนบ้าง หวยออกที่ “ปลาไหล”  อุบลราชธานี ทั่นเต้นลั่นตัดญาติ “นปช.” ย้ายฝั่ง ขู่รอประชาชนมอบบทเรียน พรรคเสื้อแดงขย่ม  “ภิรมย์” แค่ข่าวสร้างราคา แกนนำที่อ้างไม่มีใครย้ายแน่ ท้า “แรมโบ้” เคลียร์ให้ชัดเอาอย่างไร "พรเพชร" ประกาศล็อบบี้เลือกประธาน กกต.ไม่แปลก พร้อมอุบแนวทางหา กกต.ที่เหลืออีก 2 ราย
    เมื่อวันจันทร์ยังคงมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 23-24 ที่จังหวัดอุบลราชธานีและอำนาจเจริญ ว่ามีนัยแฝงทางการเมือง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ดังกล่าว โดยแสดงสีหน้าไม่พอใจพร้อมส่ายหัวก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวเรื่องนี้ว่า จะทำอะไรเขาก็ติงกันทั้งนั้น ซึ่งบอกเสมอว่าเป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องบริหารราชการแผ่นดิน ต้องตรวจราชการ ลงไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เป็นนโยบายของทุกรัฐบาล โดยเฉพาะ 20 ปีหลังมานี้ และการลงพื้นที่ไปประชุมในทุกภาคเป็นนโยบายรัฐบาลนี้ตั้งแต่แรก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการจะไปดูดหรือไปอะไร
“ที่ตั้งข้อสังเกตว่าช่วงแรกรัฐบาลไม่ได้ลงพื้นที่บ่อยเหมือนช่วงนี้ที่ใกล้เลือกตั้งนั้น เพราะมันมีเหตุผล ขณะนั้นเราบอกแล้วว่าจะไป จึงให้เขาแก้ปัญหาของเขาเองก่อน ขาดเหลือเท่าไหร่เราจะลงไปจัดการให้ และนายกฯ เพิ่งสั่งในที่ประชุม ครม.ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปรวบรวมข้อมูลว่าอะไรที่พื้นที่ขอแล้วเราให้ไปแล้ว อะไรที่เราให้ไม่ได้ และอะไรที่ให้ได้ แต่ต้องรอไปอีกระยะหนึ่ง ถือเป็นการติดตามการลงพื้นที่” นายวิษณุกล่าว
       เมื่อถามว่าถ้ามีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลจะยังลงพื้นที่เช่นนี้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่าไม่ทราบ เมื่อยังไม่ถึงจึงยังกำหนดไม่ได้ ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าเรียกนักการเมืองมาพบนั้น ไม่ทราบว่ามีการเรียกมา แต่เป้าหมายคือรับฟังความเห็น ซึ่งมาได้จากหลายฝ่าย อดีตนักการเมืองท้องถิ่นเขาจะลงสมัครอีกหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่เขารู้ปัญหาที่เขาแก้ไม่สำเร็จ เขาอาจฝากให้แก้ แม้แต่นายกฯ  ยังบอกให้ไปฟัง มันแล้วแต่กาลเทศะ ไม่มีสูตรตายตัว
      ด้านนายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มองว่า ครม.สัญจรหรือการลงพื้นที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี  เพราะประชาชนจะสามารถสะท้อนปัญหาในพื้นที่นั้นๆ ได้โดยตรง แต่ในทางกลับกันหากการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์มีนัยอย่างอื่น ไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเปลืองงบประมาณเปลืองภาษีโดยเปล่าประโยชน์
    นางสมหญิง บัวบุตร อดีต ส.ส.เขต 1 จ.อำนาจเจริญ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติทุกรัฐบาล ก่อนจะมีการเลือกตั้งก็ต้องลงพื้นที่หาเสียงพบปะประชาชน ซึ่งพรรคไม่ได้หวั่นวิตกแต่อย่างใด  เพราะจากการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงรักนโยบายของพรรคเหมือนเดิม 
    “รัฐบาลควรแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านให้ดีกว่านี้ แทนที่จะมุ่งหาเสียงอย่างเดียว เพราะทุกวันนี้ ปัญหาเศรษฐกิจไม่ดีกระทบทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดทั่วทุกพื้นที่” นางสมหญิงกล่าว
    สำหรับความเคลื่อนไหวเรื่องการดูดนั้น นายวิษณุกล่าวตอบกรณีกลุ่มสามมิตรจะขออนุญาต คสช.ประชุมว่า ใครก็ได้ เยาวชน กลุ่มอยากเลือกตั้ง สามารถมาขออนุญาต คสช.ได้หากจะรวมกลุ่มกันเกิน 5 คนเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ที่ขอทำกิจกรรมขณะนี้ก็ยังไม่เป็นพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองเหลืออยู่ไม่กี่พรรค แต่หากคุยอะไรกันที่ไม่ใช่การเมืองไม่จำเป็นต้องขอ
ซัดแดงย้ายฝั่งหัวใจเทียม
    ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า เคยหารือนอกรอบกับเพื่อนแกนนำ นปช.แล้วมีข้อสรุปตรงกันว่า การร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมืองใด หรือจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ถือเป็นเสรีภาพ ตราบเท่าที่ยังยืนยันหลักการประชาธิปไตยถือว่าความเป็น นปช.ยังคงอยู่  แต่หากละทิ้งจุดยืนนี้ก็เท่ากับสิ้นสภาพ ไม่เหลือความเป็น นปช.อีกต่อไป ทั้งนี้การที่กลุ่มสามมิตรอ้างว่าจะเดินสายพูดคุยกับ นปช.เพื่อสร้างความปรองดองนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ถ้า คสช.อนุญาต กลุ่มอื่นๆ จะได้ทำด้วย แต่ถ้าคาดหวังว่าประชาชนที่เคยร่วมต่อสู้ในนาม นปช.จะไปร่วมแผนสืบทอดอำนาจคงต้องคิดใหม่ เพราะกว่า 10 ปีในสนามการต่อสู้ พี่น้อง นปช.เอาชีวิตกับอิสรภาพเข้าแลก และยังคงแบกความอยุติธรรมร่วมกันในคดี 99 ศพจนถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองบางประเภทในกลุ่มสามมิตรที่ประชาชนรู้ไส้รู้พุงจะย่อยสลายแล้วดูดลงคอได้ง่ายๆ
    นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ที่มีข่าวว่าอดีตแกนนำ นปช.บางคนไปเปิดตัวร่วมงานกับกลุ่มสามมิตรบ้างแล้วนั้นก็ขอให้โชคดี ความเป็นเพื่อนยังอยู่ แต่ทางการเมืองถือว่าเราปล่อยมือแล้ว แยกทางกันตรงนี้  ไม่คิดจะโจมตีหรือต่อว่าใดๆ เพราะการผละจากขบวนการประชาธิปไตยไปอยู่ในกลไกสืบทอดอำนาจ มีบทเรียนที่เจ็บปวดซึ่งประชาชนรอมอบให้อยู่แล้ว โดยการเอาบัตร นปช.มาโชว์ ประกาศว่ามากี่รายชื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะจะเป็นแกนนำหรือมวลชนมีตัวชี้วัดเดียวกันคือหัวใจ 
    “ถ้าใจมันใช่ เมื่อไหร่อย่างไรก็ยังใช่ แต่ถ้าเป็นหัวใจเทียม ต่อให้เป็นแกนนำอย่างผม หรือพกบัตรกี่ใบก็ไร้ค่าในสายตามวลชน ไม่แน่ใจว่าที่กลุ่มสามมิตรเดินอยู่เป็นการทำตามโรดแมปของผู้มีอำนาจหรือเปล่า เพราะดูแล้วคล้ายเป็นการปั่นราคา สร้างมหกรรมต้มคนใหญ่คนโตครั้งสำคัญหรือไม่" นายณัฐวุฒิกล่าว
    ด้านนางสมหญิงกล่าวเรื่องนี้ มีหลายปัจจัยที่ ส.ส.เพื่อไทยบางคนย้ายไปอยู่พรรคใหม่ เช่นมีคดีติดตัว การเงิน และบางคนคิดว่าอยู่พรรคก็ได้เป็นแค่ ส.ส. ถ้าย้ายไปพรรคใหม่อาจได้ดีกว่าเก่า ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน แต่ยืนยันว่ายังอยู่พรรคเหมือนเดิม และเชื่อว่าพรรคจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่าเดิม คือ 250 คนขึ้นไป
    มีรายงานจากพรรคเพื่อไทยแจ้งถึงความเคลื่อนไหวในเรื่องอดีต ส.ส.ที่เตรียมย้ายออกไปจากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.อุบลราชธานีในสัปดาห์หน้านี้ว่า จนถึงขณะนี้อดีต ส.ส.กลุ่มอุบลราชธานีภายใต้การนำของนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยสายนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเจ๊แดง ได้หารือกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเชื่อว่านายสุพล ฟองงาม อดีต รมช.มหาดไทยและอดีตรักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อาจตัดสินใจย้ายออกจากพรรคเพื่อไทยพร้อมกับนายสุทธิชัย จรูญเนตร อดีต ส.ส.อุบลราชธานี ที่เป็นอดีต ส.ส.ในกลุ่ม เนื่องจากนายสุพลได้รับการทาบทามจากกลุ่มสามมิตรหลายรอบ และนับตั้งแต่มีข่าวนายสุพลก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธ ทำให้อดีต ส.ส.กลุ่มอุบลราชธานีเชื่อว่านายสุพลมีแนวโน้มย้ายพรรคสูง 
แม้วใช้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
    "สาเหตุหนึ่งที่นายสุพลกับนายสุทธิชัยต้องการย้ายออก เพราะก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นายเกรียงได้บอกกับคนในกลุ่มว่าจะวางมือทางการเมืองในการเลือกตั้งรอบหน้า และได้นำอดีต ส.ส.อีสานโดยเฉพาะสายอุบลราชธานีไปพบนายทักษิณ ชินวัตรที่ดูไบ เพื่อเยี่ยมเยียนและคุยการเมืองทั่วไป  แต่กลับไม่มีนายสุพลกับนายสุทธิชัยเดินทางไปด้วย” รายงานระบุ
    รายงานแจ้งอีกว่า นายทักษิณได้คุยกับอดีต ส.ส.ในกลุ่มดังกล่าวว่า ในพื้นที่เลือกตั้งของนายสุทธิชัยคะแนนเสียงไม่ค่อยดี เห็นได้จากการเลือกตั้งปี 2557 ที่แม้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แต่ผลออกมาว่านายสุทธิชัยแพ้ จึงต้องการให้ทีมอุบลราชธานีเปลี่ยนตัวผู้สมัคร โดยนายทักษิณบอกว่าให้ลองไปติดต่อนายรัฐกิตติ์ ผาลีพัฒน์ อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคชาติไทย ที่เป็นอดีต ส.ส.เมื่อปี 2551 และล่าสุดเคยชนะนายสุทธิชัยในการเลือกตั้งปี 2557 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา แต่เลือกตั้งโมฆะ เพราะฐานคะแนนเสียงดี 
    “ตอนที่คุยกันที่ดูไบกลุ่มอดีต ส.ส.อุบลราชธานีก็หนักใจ เพราะเกรงว่านายสุทธิชัยและนายสุพลจะไม่พอใจ จนเมื่อเร็วๆ นี้กลุ่มอุบลราชธานีได้ไปติดต่อกับนายรัฐกิตติ์เพื่อให้ย้ายออกจากพรรคชาติไทยมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย จะได้สู้กับประชาธิปัตย์สายนายวิฑูรย์ นามบุตร และกลุ่มสามมิตรในอุบลราชธานีที่จะนำทีมโดยนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ, นายสิทธิชัย โควสุรัตน์, พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ซึ่งปรากฏว่านายรัฐกิตติ์ตอบรับจะย้ายมาร่วมกับพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เปิดตัวตอนนี้” รายงานระบุ
    ทั้งนี้ยังมีการหารือกันว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ก็อาจให้นายสุทธิชัยไปอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้นายสุพลและนายสุทธิชัย จนกลุ่มสามมิตรไปติดต่อกับนายสุพลให้ย้ายออกจากเพื่อไทย และมีข่าวว่ากลุ่มสามมิตรเจรจาจะให้นายสุพลเป็นหัวหน้าทีมอุบลราชธานี รวมถึงคุมพื้นที่และค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งในภาคอีสานตอนบนด้วย 
    นอกจากนี้ มีรายงานด้วยว่าก่อนหน้านี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และน้องเขยนายทักษิณได้แจ้งอดีต ส.ส.อีสานของพรรคว่า ในสัปดาห์หน้าจะเดินสายตระเวนเยือนภาคอีสานเพื่อพบปะพูดคุยกับอดีต ส.ส.ของพรรค และสอบถามถึงปัญหาและความต้องการในพื้นที่ก่อนการเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่าล่าสุดนายสมชายได้แจ้งกับอดีต ส.ส.อีสานที่เป็นทีมประสานงานว่าขอยกเลิกไปก่อน เอาไว้ให้พร้อมค่อยเดินสายหลังจากนี้
      นายสิระ พิมพ์กลาง ผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อนไทยกล่าวว่า กระแสข่าวการดูดรุนแรง โดยเฉพาะคนที่ทำงานให้ซีกพลังประชารัฐเดินสายต่อเนื่อง ล่าสุดชาวบ้านและคนเสื้อแดงหลายคนออกมาบอกว่า ที่นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขาฯ กลุ่มสามมิตรนำรายชื่อแกนนำคนเสื้อแดงต่างจังหวัดหลายคนมาแอบอ้างบอกว่าจะไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐนั้น เมื่อสอบถามไปคนเหล่านั้นกลับไม่รู้เรื่อง อีกทั้งไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดงจริง บางคนมีแค่บัตร นปช.เท่านั้น 
ข้องใจจุดยืนแรมโบ้
“นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง มีคนเสื้อแดงบางพวกฝากให้ถามว่า ตกลงจะไปช่วยงานพลังประชารัฐจริงหรือไม่ ถ้าไปช่วยงานจริงขอให้ออกมาบอกเลย ไปร่วมเพราะอะไร จะได้สมฉายาแรมโบ้ ไม่ใช่อีแอบ หรือถ้าไม่ไปช่วยงานพรรคอื่นก็ออกมาแถลงเช่นกันว่าโดนเอาชื่อไปแอบอ้าง” นายสิระกล่าวและว่า ได้พูดคุยกับนายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยรักไทย ก็ยืนยันว่าโดนเอาชื่อไปแอบอ้าง ไม่ได้ไปร่วมงานกับพลังประชารัฐ และยังพูดทีเล่นทีจริงว่าไม่แน่อาจมาร่วมงานกับพรรคเพื่อนไทยก็เป็นได้  
      นายสิระกล่าวอีกว่า ได้พูดคุยกับนายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่ายังไม่ได้ไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ บอกเพียงว่ายังดูๆ อยู่ ยังคุยไม่จบ ส่วนที่มีข่าวนายสุพลจะไปรับคณะนายกฯ ที่จะมาประชุม ครม.สัญจรนั้น นายสุพลบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อนายกฯ  มาเยือนก็ต้องไป ส่วนคนที่โยงไปว่าไปรับแล้วจะได้งบประมาณลงพื้นที่นั้น เรื่องนี้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี ไม่ใช่อยู่กับพรรคการเมือง 
สำหรับความคืบหน้าในการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 2 คน โดยมีการเรียกร้องให้ใช้การสรรหาเหมือนเดิมแทนใช้วิธีทาบทามที่กฎหมายเปิดช่องให้นั้น นายวิษณุกล่าวว่า คนที่จะพิจารณาว่าจะใช้วิธีใดคือคณะกรรมการสรรหา แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังไม่มีเงื่อนไขเร่งรัด แต่ถ้ายังไม่ได้ กกต.เลยแล้วการเลือกตั้งงวดเข้ามาแบบนั้นถึงจะเร่งรัด อย่าเพิ่งไปตีตนก่อนไข้ ยังไม่มีใครคิด เพราะหลายคนยังไม่รู้ว่าจะใช้วิธีทาบทามได้ ถ้าพูดกันไปมากๆ เดี๋ยวจะนึกว่าสังคมอยากให้ทาบทาม  โดยขณะนี้ได้ กกต.มาพอทำงานแล้ว จึงยังไม่มีความจำเป็น 
    “ที่กังวลว่าถ้าใช้วิธีทาบทามจะได้คนของ คสช. ผมไม่ทราบ แต่ คสช.ไม่มีสิทธิ์ไปจิ้ม” นายวิษณุยืนยัน
    นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวเรื่องนี้ว่า ยังไม่ทราบว่าจะใช้วิธีการสรรหาหรือทาบทาม แม้ในใจมีคำตอบแล้วแต่ไม่อยากพูดชี้นำ เรื่องนี้ต้องรอให้คณะกรรมการสรรหา กกต.ประชุมหารือกันก่อน 
    นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า การสรรหาน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดเพราะยังมีเวลา ดีกว่าส่งเทียบเชิญไปทาบทามใคร แม้รัฐธรรมนูญจะเปิดช่องให้สามารถทำได้ เพราะถึงได้คนดีคนเก่งมาก็ตามก็ไม่พ้นเสียงนินทา ดังนั้นทางที่ คสช.จะปลอดจากการนินทาว่ากล่าว จึงควรให้คณะกรรมการสรรหาเริ่มลงมือสรรหาและนำเสนอ สนช.เพื่อเห็นชอบตามแบบเดิมจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
    นายพรเพชรยังกล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.แสดงความกังวลอาจมีการล็อบบี้เลือกประธาน กกต.ชุดใหม่ว่า เป็นธรรมชาติของการฟอร์มทีมองค์กรอิสระที่จะมีการออกข่าวว่าใครเป็นผู้มีความเหมาะสม น่าสนใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีข่าวออกมาว่าใครจะมาเป็นประธาน อย่าไปคิดว่าการแข่งขันเป็นประธาน กกต.จะทำให้เกิดความขัดแย้งกัน เพราะในช่วงการสรรหา กกต.ได้สอบถามผู้สมัครทุกคนเกี่ยวกับเรื่องการทำงานร่วมกันว่าจะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อผ่านขั้นตอนเลือกประธาน กกต.แล้วจะไม่มีการเคลื่อนไหวสร้างความขัดแย้ง เพราะจะทำให้องค์กรขาดความน่าศรัทธา
    “สิ่งที่เป็นห่วงคือ เรื่องการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่างๆ ของว่าที่ กกต. 5 คน ที่ต้องลาออกจากทุกตำแหน่งครบถ้วน มิเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาเหมือนในอดีต เพราะบางคนใช้วิธีลาออกอย่างไม่เป็นทางการ หากมีการตรวจสอบพบว่ายังลาออกไม่ครบทุกตำแหน่งอาจมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติการเป็น กกต.ในวันข้างหน้า ขอเตือนว่าเรื่องการลาออกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” นายพรเพชรกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"