องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ สุดทน คดี ”นาฬิกาหรู-ยืมเงินเพื่อน 300 ล้าน” สุดอืด บี้ ป.ป.ช.เร่งแจงให้ชัดเจน “วัฒนา” ดักคอล่วงหน้า เชื่อมีการฟอกขาว อ้างต่างประเทศไม่ให้ข้อมูล สัมมนาอัดเละ “ไฮสปรีดเทรน” เชื่อม 3 สนามบิน ชี้เอื้อรายใหญ่ไม่เกิน 5 เจ้าในประเทศ แนะส่งไม้รัฐบาลหน้าทำ พ่วงเตรียมยื่นหนังสือค้าน
เมื่อวันอาทิตย์ เพจเฟซบุ๊กองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โพสต์ข้อความพร้อมจดหมายตอบกลับจากนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ได้ทำจดหมายเปิดผนึก สอบถามถึงความคืบหน้าคดีแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับคดี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ยืมเงินนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือเสี่ยกำพล เจ้าของสถานบริการวิคตอเรีย ซีเครท 300 ล้านบาท
โดยระบุว่า 3 เดือนผ่านไป หลังจากที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ มีจดหมายเปิดผนึกสอบถาม ป.ป.ช. ถึงความคืบหน้าคดีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู กับคดี พล.ต.อ.ยืมเงินเพื่อน 300 ล้านบาท วันนี้ ป.ป.ช.ตอบจดหมายกลับมาเพียงว่า กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง คำถามคือ เหตุใด 2 คดีนี้จึงใช้เวลานาน ทั้งๆ ที่คดีทำนองนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้แล้วคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นและมีความสลับซับซ้อนมากกว่านี้ ป.ป.ช.จะมีความสามารถจัดการได้แค่ไหน โดยประชาชนกำลังหวั่นใจ ผิดก็บอกไปว่าผิด ถูกก็บอกมาว่าถูก มีข้อมูลอย่างไรก็เปิดเผยมา
ทั้งนี้ จดหมายตอบกลับของ ป.ป.ช.ระบุว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช.ได้แถลงข่าวเพื่อรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะแล้ว ทั้งกระบวนการขั้นตอน ข้อกฎหมาย รวมถึงข้อเท็จจริงอื่น ที่พึงเปิดเผยได้ตามกฎหมาย และเท่าที่ไม่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากดำเนินการแล้วเสร็จ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นหรือคำวินิจฉัยแล้ว จะแถลงข่าวเพื่อให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว
ในตอนท้ายของโพสต์ เพจองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันยังระบุด้วยว่า องค์กรฯ คาดหวังว่าจะได้ผลการสอบสวนที่ชัดเจน สมเหตุสมผล ยึดผลประโยชน์ของประเทศ และขอเชิญชวนให้ประชาชนจับตาการแถลงข่าวคดีนาฬิกาหรูของ ป.ป.ช.ในช่วงนี้ สังคมกำลังรอรับฟัง
ขณะที่นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ค. องค์กรฯ ได้รับจดหมายตอบกลับจากเลขาธิการ ป.ป.ช. หลังนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ทำจดหมายเปิดผนึกเมื่อวันที่ 26 มี.ค. โดยในจดหมายตอบกลับของ ป.ป.ช.ชี้แจงแค่ว่า กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งองค์กรฯ ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดสองกรณีนี้จึงใช้เวลานาน ทั้งที่ลักษณะแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทำให้สังคมอาจคลางแคลงใจในการทำงานของ ป.ป.ช.ได้ จึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนร่วมติดตามการทำงาน ป.ป.ช.ในสองกรณีดังกล่าว รวมทั้งอยากฝากถึง ป.ป.ช.ว่า ขอให้รีบแถลงสรุปผลกรณีปมแหวนเพชรและนาฬิกาหรูได้แล้ว
“เราอยากให้ ป.ป.ช.รีบสรุปผลคดีแหวนเพชรและนาฬิกาหรูหลังยืดเยื้อมานาน และองค์กรฯ คาดหวังว่าจะได้เห็นผลสรุปที่ชัดเจน สมเหตุสมผล และยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลักด้วย” นายมานะระบุ
ซัด”บิ๊กป้อม”มีหน้าที่แจง
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจาก ป.ป.ช.แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ก.ค. คณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงคดีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู ได้รายงานว่า ได้สอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีครบถ้วนแล้ว แต่บริษัทตัวแทนจำหน่ายในไทยไม่ยอมให้ข้อมูลเรื่องซีเรียลนัมเบอร์ว่าใครเป็นผู้ครอบครองที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถพิจารณาว่าจะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่
ด้านนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กในเรื่องนี้ว่า กรณีสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303 บัญญัติว่า ทรัพย์สินตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลใด บุคคลนั้นมีสิทธิยิ่งกว่าบุคคลอื่นๆ ดังนั้นกรณีนาฬิกากว่า 20 เรือนที่ พล.อ.ประวิตรเป็นผู้ครอบครอง จึงต้องถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของ พล.อ.ประวิตร การอ้างว่านาฬิกามิได้เป็นของตน พล.อ.ประวิตรมีหน้าที่ที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ตามข้ออ้าง ไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ต้องไปช่วยแสวงหาหลักฐานให้
“สิ่งที่ ป.ป.ช.ควรทำคือตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน สั่งให้บุคคลที่ พล.อ.ประวิตรอ้างว่าเป็นเจ้าของนำพยานหลักฐานมายืนยัน หากไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตรที่ได้มาโดยไม่มีเหตุอันสมควร ป.ป.ช.ต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับ พล.อ.ประวิตร และยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้นาฬิกาทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดินต่อไป ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่เคยใช้กับการยึดรถโฟล์กตู้ของอดีตปลัดคมนาคมที่อ้างว่าเป็นรถที่ยืมบุคคลอื่นมา” นายวัฒนาโพสต์
นายวัฒนายังกล่าวถึงกรณีคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงได้รายงานให้ที่ประชุม ป.ป.ช.รับทราบว่า ตัวแทนจำหน่ายในไทยไม่ยอมให้ข้อมูลทำให้ ป.ป.ช.ไม่สามารถตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าวได้นั้น การที่ ป.ป.ช.กำลังช่วยเหลือ พล.อ.ประวิตร โดยผลักภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาเป็นของ ป.ป.ช.ทั้งที่ภาระการพิสูจน์ต้องเป็นของ พล.อ.ประวิตร ท้ายสุดเรื่องนี้จะจบลงโดย ป.ป.ช.จะเป็นผู้ฟอกขาวให้กับ พล.อ.ประวิตร โดยอ้างว่าผู้ผลิตต่างประเทศไม่ยอมส่งข้อมูลให้ จึงไม่มีพยานหลักฐาน ข้อกล่าวหาแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อนจึงเป็นอันตกไป เอวังประเทศไทยครับ
วันเดียวกัน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการตรวจสอบภาคประชาชนกับการทุจริตคอร์รัปชันจัดเสวนาการทุจริตประพฤติมิชอบนโยบายของรัฐในการประมูลรถไฟความเร็วสูง และการจัดสรรที่ดินรถไฟมักกะสัน ผลประโยชน์ชาติประชาชนอยู่ตรงไหน โดยนายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษา 35 ระบุว่า การที่รัฐบาลจัดทำร่างเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) โครงการรถไฟความเร็วสูง สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา โดยโยงเข้ากับโครงการพัฒนาที่ดินมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นแผนการที่เอื้ออำนวยประโยชน์แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ กีดกันนักธุรกิจขนาดย่อม และไม่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด โดยการรถไฟฯ ควรจัดตั้งเป็นบริษัทลูกสำหรับโครงการนี้ เพราะการผนวกสองโครงการใหญ่เข้าด้วยกัน เป็นการกีดกันนักธุรกิจรายย่อย ทีโออาร์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายล็อกสเปกเอื้อประโยชน์เฉพาะแก่นายทุนระดับชาติ และผิดกฎหมายเนื่องจากฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 164 (1)
แนะควรให้รัฐบาลหน้าทำ
“รัฐบาลประกาศเองว่าจะมีเลือกตั้งต้นปีหน้า ดังนั้นจึงควรให้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการประมูลเรื่องดังกล่าวน่าจะโปร่งใสกว่า เพราะสามารถตรวจสอบการทุจริตได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ปัจจุบันการตรวจสอบแทบจะทำไม่ได้เลย ภาคประชาชนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการดำเนินการการประมูลดังกล่าวออกไปจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง” นายเมธากล่าว
นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 กล่าวว่า ข้อกำหนดในทีโออาร์ การเชื่อม 3 สนามบิน สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา รวมทั้งผนวกการพัฒนาที่ดิน โรงซ่อมบำรุงรักษาในที่ดินการรถไฟฯ ย่านมักกะสันไปด้วย รวมทั้งให้สิทธิในการเช่าที่ดินสองระยะ โดยครั้งแรกให้เช่า 50 ปี และยังขยายต่อได้อีก 49 ปี รวม 99 ปี ไม่รู้ว่ารัฐบาลใช้หัวอะไรคิด เพราะผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งที่ยื่นซองประมูลให้สัมภาษณ์ชัดเลยว่า โครงการพัฒนาที่ดินมักกะสันและการเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการที่ดีกว่าระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เสียอีก
“สัปดาห์หน้าจะไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ช่วยกันตรวจสอบ ในวันนี้รู้สึกผิดหวังต่อกระบวนการตรวจสอบของรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่มีอำนาจในรัฐบาล กลับปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้”
ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง กล่าวว่า การนำ 2 โครงการมาแปะด้วยกัน คนที่เข้าร่วมประมูลได้คงมีไม่เกิน 5 รายที่เป็นนายทุนใหญ่ระดับประเทศ
นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า พระราชบัญญัติอีอีซีถือว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะออกมาในช่วงประชาชนกำลังมึนๆ งงๆ รัชกาลที่ 5 สูญเสียที่ดินฝั่งขวาแม่น้ำโขง พระองค์โทมนัสมาก สุดท้ายก็สู้กัน แต่กฎหมายอีอีซีไม่ต้องทำศึกสงครามอะไร เราพร้อมยกให้เขาไปเลย ที่ดินย่านมักกะสันหอมหวานมาก ก่อนหน้าหลายหน่วยงานพยายามจะมาเอาไปทำประโยชน์ แม้แต่กรมธนารักษ์ แต่สหภาพและการรถไฟฯ เราไม่ยอม
“การพัฒนาที่ดินมักกะสันเราไม่ขัดขวาง หากทำให้เกิดประโยชน์กับทุกคน รัฐบาลไม่ควรใจแคบต่อการตั้งคำถามจากประชาชน เรามาร่วมกันตรวจสอบ วันไหนไปยื่นหนังสือ จะเชิญพี่น้องรัฐวิสาหกิจไปด้วย เพราะหลายที่มีปัญหา” นายสาวิทย์กล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |