คาเฟ่เก๋ไก๋ในย่านฮงแด กรุงโซล
จากเมืองฮาโกดาเตะบนเกาะฮ็อกไกโด ผมกลับเข้ากรุงโตเกียวด้วยรถไฟชิงกันเซ็นเที่ยวสิบโมงกว่าๆ ถึงสถานีอุเอโนะตอนบ่าย 2 โมง เย็นนั้นได้ออกไปกินข้าวกับคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เคยเจอกันเมื่อ 2 ปีก่อนหลังการเสียชีวิตของ “ปีเตอร์ คัมเบอร์เบิร์ช” เพื่อนแคนาเดียนรุ่นใหญ่ของผม ทั้งคู่เป็นเพื่อนของปีเตอร์เหมือนกัน
อีก 2 วันต่อมาผมก็ได้เจอกับอีกคู่รัก อายุของคู่นี้มากกว่าคู่แรกอยู่หลายปี สุภาพสตรีคือภรรยาเก่า (คนที่ 2) ของปีเตอร์ ส่วนสุภาพบุรุษคือสามีใหม่ของเธอซึ่งปีเตอร์เป็นผู้แนะนำให้รู้จักกันหลังจากตัวเองต้องแยกทางเดินออกมา เขาไว้ใจและเคารพสุภาพบุรุษท่านนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วเช่นกันที่ผมได้เจอทั้งคู่หลังจากปีเตอร์เสียชีวิตลงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นรอบนี้ ผมได้แวะที่เกาหลีใต้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อเยี่ยมเพื่อนปีเตอร์ที่รู้จักกันหลังการตายของเขาอีกคน
........................................................
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเปิดพาสปอร์ตของผมไปยังหน้าที่มีตราประทับของ ตม. ญี่ปุ่นอยู่ 2 ตราในหน้าเดียวกัน แล้วก็บรรจงปั๊มตราของเกาหลีใต้ยัดลงไปในหน้านั้นอีก ดูพี่เขาทำ!
บนรถไฟแบบจอดหลายสถานีมีจอฉายหนังสั้น ประชาสัมพันธ์ว่า “หมู่เกาะด็อกโด” เป็นของเกาหลี โดยอ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์บางอย่าง ฉายวนซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งหมู่เกาะแห่งนี้มีเกาะหินหลักๆ อยู่ 2 เกาะ และเกาะเล็กเกาะน้อยอีกประมาณ 90 เกาะ เนื้อที่รวมเกือบ 190,000 ตารางเมตร เกิดปัญหาข้อพิพาทในการอ้างสิทธิเหนือดินแดนอยู่กับประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่า “เกาะทาเคชิมะ”
รถไฟวิ่งเกือบ 1 ชั่วโมงก็มาถึงสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University Station) ในเวลาเที่ยง สถานีนี้ใหญ่พอสมควร มีทางออกหลายทาง ผมเดินออกที่ประตูหมายเลข 9 เห็นร้านไก่ทอดเคเอฟซีก็โผเข้าใส่ทันที เพราะทนหิวบนเครื่องบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์มาตั้งแต่หลังเที่ยงคืนนิดๆ แถมนอนบนเครื่องไม่หลับอีกต่างหาก
ถือว่าได้พิสูจน์ไก่เคเอฟซีเกาหลีโดยไม่ต้องวางแผน สนนราคาชุดละ 6 พันกว่าวอน หรือเกือบๆ 200 บาท รสชาติหลังบวก-ลบความหิวแล้วถือว่าสอบผ่าน ดีกว่าที่เคยกินของญี่ปุ่น แต่สู้ของพวกยุโรปตะวันออกไม่ได้ ส่วนอันดับหนึ่งยังคงยกให้อินเดีย
เกสต์เฮาส์ที่จองไว้ผมจะไม่ขอเปิดเผยชื่อเพราะเจ้าของและผู้ดูแลอาจซวยได้ ที่หน้าประตูมีกระดาษติดไว้ว่า “ไปกินข้าวเที่ยง จะรีบกลับมา ขออภัยในความไม่สะดวก” ลงชื่อผู้เขียนและเวลา
ผมลองเอามือผลักประตูก็สามารถเปิดเข้าไปได้ ฝรั่งสาวคนหนึ่งนั่งกินบะหมี่อยู่ในครัวเดินมาบอกว่าเดี๋ยวรีเซ็พชั่นก็จะขึ้นมา ผมจึงนั่งรอบนโซฟากลางห้องโถงต้อนรับ พอกำลังจะผล็อยหลับเธอคนนั้นก็เดินเข้ามา
เธอขอให้ผมใช้สัญญาณ Wi-fi ของเกสต์เฮาส์เข้าอินเตอร์เน็ตกดยกเลิกการจองกับเว็บไซต์เอเยนต์ ให้เหตุผลว่าไม่ต้องการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นจำนวนถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของค่าเข้าพัก เมื่อเห็นว่าใบหน้าง่วงๆ ของผมเปลี่ยนเป็นใบหน้าสะดุ้งตื่น เธอก็อ้อนวอน “ได้โปรดเถอะค่ะ เราจ่ายให้พวกเขามากเกินไป”
ผมบอกเธอว่า “30 เปอร์เซ็นต์ดูจะมากเกินไปจริงๆ แต่ผมมีเพื่อนที่เคยทำงานกับเว็บไซต์รับจองที่พักอันนี้ในออฟฟิศที่สิงคโปร์เคยบอกว่าพวกเขาหักเฉลี่ยประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
“ที่นี่ถูกหัก 30 เปอร์เซ็นต์จริงๆ ค่ะ” เธอยืนยัน
จะทำอย่างไรได้ ผมง่วงนอนเต็มทีจึงยอมกดยกเลิกตามความประสงค์ของเธอ แต่ขอให้รับประกันด้วยว่าผมจะไม่ถูกเว็บไซต์เรียกเก็บเงินทีหลัง เพราะเป็นการยกเลิกหลังจากเลยกำหนดให้ยกเลิกตามที่ประกาศไว้ ซึ่งโดยปกติจะต้องเสียค่าปรับ ส่วนมากก็เท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์ของค่าที่พัก
สภาพร้านรวงในเขตใกล้เคียงมหาวิทยาลัยฮงอิก
เธอขอให้ผมหยุดกังวล “คุณจะไม่มีปัญหา เชื่อฉันเถอะ” เธอคงทำมาบ่อยแล้ว
ผมจ่ายเงินไปตามราคาจองหน้าเว็บไซต์ แล้วก็เข้าไปนอนในห้องรวมที่มีกลิ่นอับแปลกๆ แต่ก็หลับลงไปได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าคนไทยเข้าเกาหลีได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่ามานานนมแล้วจากอานิสงส์วีรกรรมทหารกล้าที่ไปช่วยรบในสงครามเกาหลีเมื่อ 60 กว่าปีก่อน แต่นี่เป็นการมาเยือนแดนกิมจิและเคป็อปครั้งแรกของผม พอตื่นขึ้นมาแล้วเข้าไปอาบน้ำก็เกิดอาการงุนงงนิดๆ โถสุขภัณฑ์อยู่ที่มุมหนึ่ง อ่างล้างหน้ามุมหนึ่ง ฝักบัวมุมหนึ่ง แต่ไม่มีการแยกโซนแห้งและโซนเปียก พื้นกระเบื้องลาดลงสู่รูท่อตรงกลางห้องน้ำ ตอนแรกผมยังนึกว่าเป็นเฉพาะในเกสต์เฮาส์หรือโรงแรมราคาประหยัด แต่เมื่ออีกวันต่อมาได้ไปใช้ห้องน้ำบ้านเพื่อนก็พบคำตอบว่า “ห้องน้ำเกาหลีเป็นแบบนี้แหละ”
จินฮี หรือ “จินนี่” เพื่อนของผมส่งข้อความมาบอกว่า “ฉันมีข่าวดีจะบอก อย่าเพิ่งกินข้าว เก็บท้องไว้กินด้วยกัน จะไปรับตอน 6 โมงเย็น”
ผมออกมานั่งรอจินนี่ที่โซฟาตัวเดิม สาวผู้ดูแลเกสต์เฮาส์ (เธอเป็นมากกว่ารีเซ็พชั่น) เข้ามาคุยด้วย เธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากเพราะเรียนในหลักสูตรอินเตอร์ฯ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เดาเอาว่าหน้าตายังไม่ได้ผ่านมีดหมอ และไม่จำเป็นต้องผ่านหรือเพิ่มเติมสิ่งใดให้เสียเวลาและเงินทอง
เธอเหมือนมีอาการสะดุ้งเมื่อผมบอกว่า “เพื่อนผมกำลังจะมารับไปกินข้าวเย็น เธอเคยทำงานอยู่ที่เว็บไซต์รับจองที่พัก..... แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เธอลาออกมาได้สักพักแล้ว”
ผมดูราคาห้องพักสำหรับคืนพรุ่งนี้จากเว็บไซต์เดิม ราคาเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 200 บาท
“พรุ่งนี้ขึ้นราคาที่พักหรือครับ”
“จำเป็นต้องขึ้นเพราะเป็นวันศุกร์ ที่ไหนก็ขึ้นทั้งนั้นแหละค่ะ”
จินนี่เปิดประตู้เข้ามา ดูเหมือนเธอจะทำน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีกหลายกิโลกรัมจากครั้งหลังสุดที่เจอกัน ผมลุกออกไปกอดทักทาย สาวผู้ดูแลเกสต์เฮาส์เดินเข้าไปในครัว จินนี่สอดส่ายสายตาดูภาพรวมๆ ของเกสต์เฮาส์ แล้วก็ดึงมือผมลงจากเกสต์เฮาส์ไป
มีตัวเลือกให้ผม “ไก่ทอดกับเบียร์ หรือจะหมูย่างเกาหลี”
พอผมเลือกหมูย่างเกาหลี จินนี่ก็เดินเข้าร้านใกล้ๆ กับเกสต์เฮาส์แล้วบอกว่า “ร้านนี้แหละอร่อย”
ผมได้แต่นั่งเฉยๆ ตามคำสั่ง จินนี่ปิ้งย่างอย่างชำนาญ พร้อมเทโซจูใส่แก้วให้ผมเป็นระยะๆ ตามธรรมเนียมแล้วจะไม่รินให้ตัวเองคล้ายกับญี่ปุ่น เนื้อสัตว์ย่างและผักดองเครื่องเคียงเข้ากับโซจูได้ดี ยกเว้นกิมจิที่ผมไม่นิยม รสชาติโดยรวมก็ถือว่าอร่อยตามคำโฆษณา
จินนี่เล่าให้ฟังว่าหลังจากทราบว่าทั้งพ่อและแม่ป่วยก็เลยลาออกจากงานที่สิงคโปร์กลับมาดูแล รับ-ส่งโรงพยาบาล แต่เธอไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเพราะไม่อยากฟังคำบ่นของผู้ใหญ่ ออกไปเช่าแฟลตอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ห่างจากบ้าน (คอนโด) พ่อแม่ไม่ถึง 1 กิโลเมตร ช่วงนี้แฟลตเมทไปทำงานต่างประเทศ เลยบอกให้ผมไปค้างที่แฟลตเธอได้ โดยให้นอนในห้องของเพื่อน ผมขอบคุณและขอเวลาพิจารณา
แผงลอยขายอาหารในยามค่ำคืน มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ช่วงที่ต้องดูแลพ่อแม่ จินนี่ที่เรียนจบมาทางด้านวรรณกรรมก็เริ่มเขียนเรื่องสั้น เธอบอกว่าตอนมีเวลาไม่เคยได้เขียนอย่างจริงจัง แต่ตอนที่ชีวิตยุ่งสุดขีดกลับเขียนได้อย่างลื่นไหล เธอส่งงานเขียนเข้าประกวด และเพิ่งจะประกาศผลออกมา
“ฉันได้รางวัล ที่เกาหลีคุณต้องชนะการประกวดถึงจะเป็นนักเขียนได้ ที่อื่นคุณก็แค่ส่งงานเขียนไปตามสำนักพิมพ์ เขารับพิมพ์คุณก็ได้เป็นนักเขียน แต่ที่เกาหลีต้องประกวด และนี่ฉันก็ยังต้องประกวดต่อในอีกเวทีเพื่อจะได้เป็นนักเขียนเต็มขั้น”
ผมเอื้อมมือหยิบขวดโซจู รินใส่แก้วจินนี่ และแก้วตัวเอง กล่าว “ค็อนเป” แสดงความยินดีและ “ขอให้อาชีพนักเขียนไปได้สวย”
จินนี่ไม่ยอมให้ผมจ่ายค่าอาหาร บอกว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับ ผมว่างั้นขอเลี้ยงเบียร์ที่ร้านถัดไป เราเดินออกจากร้านหมูย่างพร้อมด้วยกลิ่นหมูย่างที่ติดตามมากับเสื้อผ้าและผมเผ้า มีห้องน้ำรวมของบรรดาร้านในตึกแถวบล็อกนี้ตั้งอยู่ติดกัน ไม่สะอาดแต่สำหรับผู้ชายที่เร่งรีบก็ใช้ปลดทุกข์เบาๆ ได้ จินนี่มองเข้าไปในห้องน้ำแล้วพูดว่า “ฉันทนได้อีกสักพัก ไปกันเถอะ”
มีย่านบันเทิงติดๆ กับที่พักของผมชื่อว่าย่านฮงแด (Hongdae) เต็มไปด้วยไนท์คลับ ผับ บาร์ คาเฟ่ และดนตรีสดตามพื้นที่สาธารณะของบรรดาคนหนุ่มสาว เพราะย่านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยฮงอิกที่โด่งดังทางด้านศิลปะ แต่จินนี่ทำตัวศิลปะกว่าด้วยการพาผมเดินไปอีกทาง เกือบจะห่างไกลผู้คน แล้วเข้านั่งที่ร้านเงียบๆ ร้านหนึ่ง เธอสั่งเบียร์ที่เรียกว่าเบียร์ครีมมา 2 แก้วแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
หมดเบียร์ครีมก็ต่อด้วยเบียร์ขวดยี่ห้อแคส รสชาติจืดชืดเหลือเกิน เบียร์ท้องถิ่นที่นี่มีตัวเลือกไม่มากนักและขออภัยที่ต้องบอกว่า “งั้นๆ” ในบรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผมว่ามีโซจูที่สามารถร่วมหัวจมท้ายได้ ส่วนเครื่องดื่มที่เรียกว่า “มักกอลลี” (Makgeolli) ลักษณะและรสชาติคล้ายๆ สาโทบ้านเรา ดื่มได้คราวละแก้วสองแก้วก็ควรหันไปทำอย่างอื่น
จินนี่เดินมาส่งผมที่หน้าเกสต์เฮาส์ เธอว่าถ้าราคาที่พักขึ้นไปอีก 200 บาทก็ควรย้ายไปนอนที่แฟลตของเธอ เพราะดูแล้วไม่สมเหตุสมผลกับเรื่องคุณภาพ
ตื่นเช้าวันต่อมาก็ตัดสินใจเช็กเอาต์แต่ขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน ผมลาสาวผู้ดูแลเกสต์เฮาส์ที่กำลังนั่งสนทนากับแขกคนอื่นๆ อยู่บนโซฟา
เธอลุกขึ้นเดินมาหาผม อ้าแขนกว้างแล้วสวมกอดแน่น แน่นอนว่าเป็นอ้อมกอดที่น่าอภิรมย์และอบอุ่นอยู่ในที แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเป็นกอดที่เกินกว่าเหตุ แม้ไม่มีคำพูดออกมา แต่เหมือนจะหมายความได้ว่า ‘อย่าบอกเพื่อนของเธอเรื่องยกเลิกการจองห้องพักนะ’
“จ้ะ ไม่บอกหรอก” ผมเปล่งเสียงออกไปโดยไม่รู้ตัว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |