ปลายเดือนพฤษภาคม 2017 อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เอ่ยถึงนโยบายต่างประเทศว่า “ห้วงเวลาที่เราต้องพึ่งพาประเทศอื่นอย่างสิ้นเชิงได้สิ้นสุดแล้ว” ประโยคดังกล่าวไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศใด แต่ทุกคนรู้ดีว่าหมายถึงสหรัฐอเมริกา
ขณะพูดอยู่ในช่วงหาเสียง จึงอาจตีความว่าพูดหาเสียง แต่ไหนแต่ไรคนเยอรมัน (รวมทั้งหลายประเทศในยุโรป) ไม่ค่อยชอบรัฐบาลอเมริกันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นประธานาธิบดีทรัมป์ยิ่งหนักข้อ แมร์เคิลหวังแสดงความเป็นผู้นำว่าสามารถเผชิญหน้ากับคนอย่างทรัมป์ สามารถดูแลผลประโยชน์ของคนชาวเยอรมันและยุโรป
การพึ่งพาที่ว่าคือ การพึ่งพาความมั่นคงทางทหารที่ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ความเป็นพันธมิตรทางทหารแลกด้วยการที่สหรัฐมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจสังคม
อดีตประธานาธิบดีชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle) แห่งฝรั่งเศสเห็นว่า นาโตคือเครื่องมือสร้างความเป็นเจ้าของสหรัฐ
การกล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเยอรมนีคิดจะเป็นศัตรูกับสหรัฐ ทั้ง 2 ยังเป็นหุ้นส่วนสำคัญ ยังมีผลประโยชน์ร่วมกันอีกมาก นาโตยังต้องคงอยู่ต่อไป แต่เป็นความสัมพันธ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิมและเห็นชัดกว่าเดิม
โจทย์เก่ากับการก้าวขึ้นมาของทรัมป์ :
เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังในปี 1989 ตามมาด้วยการสิ้นสุดสหภาพโซเวียต นโยบายความมั่นคงทางทหารระหว่างสหรัฐกับสมาชิกนาโตฝั่งยุโรปเริ่มแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ผู้นำประเทศ รมต.ออกมาให้ความเห็นตรงไปตรงมา อีซี/อียูควรมีนโยบายความมั่นคงทางทหารของตนเอง
จากเหตุผลมากมายทั้งความเห็นต่างจากรัฐบาลสหรัฐ การคิดเชื่อมโยงกับประเด็นอื่นๆ บริบทโลกที่เปลี่ยนไป เกิดคำถามว่ายุโรปควรอิงความมั่นคงทางทหารจากสหรัฐมากเพียงไร ควรถอยห่างขนาดไหน ควรปรับเปลี่ยนกระบวนการตัดสินใจ การบังคับบัญชาอย่างไร รวมความแล้วฝั่งยุโรปต้องการความเป็นอิสระมากขึ้น ฝ่ายสหรัฐยอมให้ยุโรปมีอำนาจมากขึ้น แต่ยังเก็บสงวนบางส่วน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ฝั่งยุโรปต้องการเป็นตัวของตัวเอง และนาโตมีการปรับตัวเรื่อยมา
การก้าวขึ้นมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลง ระบบเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนจากทุนนิยม การค้าเสรีเปิดกว้าง มาเป็นระบบใหม่ที่ทรัมป์เรียกว่า America First หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน”
ในขณะที่ความโดดเด่นของสหรัฐกำลงถดถอย ไม่ว่าด้านค่านิยมตะวันตกดั้งเดิม ความเป็นผู้นำโลก
ในกรอบนาโต สหรัฐไม่ใช่เครื่องประกันความมั่นคงทางทหารแก่ยุโรปดังเดิมอีกแล้ว
ความขัดแย้งกับรัฐบาลทรัมป์ :
นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับเยอรมนีไม่ได้ใกล้ชิดอบอุ่นอีกแล้ว ข้อมูลที่ทำให้คิดว่าเป็นพันธมิตรกับภาพที่แสดงออกอาจยังทำให้คิดว่าเป็นเช่นนั้น ความจริงคือที่ยังร่วมมือกันก็ด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ ปราศจากความไว้วางใจกัน ไม่เคารพกันและกันอย่างจริงใจ
มีตัวอย่างมากมาย เช่น หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐแอบสืบข้อมูลรัฐบาลเยอรมนีอย่างเป็นระบบ แม้กระทั่งดักฟังโทรศัพท์มือถือของนายกฯ แมร์เคิล ดังที่เป็นข่าว หากเป็นมิตรแท้ด้วยสุจริตใจจะทำเช่นนี้หรือ
ถ้ามองจากมุมสหรัฐ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหาเยอรมนีว่าทรยศอเมริกา หันไปหาความคุ้มครองจากรัสเซีย เป็นเหตุผลว่าทำไมเยอรมนีจึงซื้อน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติจากประเทศนี้
อีกเรื่องที่ไม่มีใครปฏิเสธคือยุทธศาสตร์อเมริกาต้องการก่อนของประธานาธิบดีทรัมป์ คือการเข้าแทรกแซงประเทศต่างๆ ในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางทหาร การเมือง เศรษฐกิจ
รัฐบาลทรัมป์ไม่ยึดกติกา ฉีกข้อตกลงทิ้ง (บางครั้งใช้คำพูดว่าขอทำข้อตกลงใหม่) ทำทุกสิ่งที่คิดว่าให้ประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด ในมุมหนึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ รัฐบาลสหรัฐย่อมต้องทำเพื่อประเทศตนเอง แต่วิธีที่ใช้กระทบประเทศอื่นๆ บางครั้งรุนแรง หากสหรัฐพยายามรักษาผลประโยชน์ ประเทศอื่นๆ คิดรักษาผลประโยชน์ตนเองเช่นกัน
หากอเมริกาต้องการอยู่รอด ประเทศอื่นๆ ต้องการอยู่รอดเช่นกัน
ปัญหาเกิดตรงที่เมื่อ 2 ฝ่ายขัดแย้งกัน จะแก้ปัญหาอย่างไร รัฐบาลสหรัฐจะใช้อำนาจอิทธิพลที่เหนือกว่าเพื่อได้กินส่วนแบ่งที่มากกว่าหรือไม่ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่
ทางออกที่ดีกว่าคือการประนีประนอม การสร้างกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
โลกจะเป็นสุขกว่านี้หากทุกคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่หากยังยึดหลักสัจนิยม (Realism) แบบสุดขั้วที่มองว่าโลกคือป่าดงดิบ มนุษย์เปรียบได้กับสัตว์ป่ามีสัญชาตญาณเอาตัวรอด ย่อมนำโลกสู่ความขัดแย้งวุ่นวายไม่รู้จบ ประเทศใหญ่จะอยู่รอด ประเทศเล็กจะถูกกลืนกิน เป็นเหยื่อที่รอวันถูกสังหาร
ในอีกมุมหนึ่ง การอ้างเหตุผลแบบสัจนิยมคือข้ออ้างเพื่อทำลายล้างประเทศอื่น แล้วบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติหลีกเลี่ยงไม่ได้
แนวคิดสัจนิยมแบบสุดขั้วจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี มนุษย์ไม่จำต้องเป็นดังเช่นสัตว์ป่าเสมอไป
เยอรมนีกับภาวะผู้นำและข้อเสนอแนะ :
ภายใต้บริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เกิดคำถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เยอรมนีและประเทศอื่นๆ ควรวางตัวอย่างไร ในช่วงหลายทศวรรษหลัง รัฐบาลเยอรมนีแสดงภาวะผู้นำมากขึ้น ต้องการแสดงบทบาทผู้นำอย่างเปิดเผย เศรษฐกิจที่เข้มแข็ง การอิงสหภาพยุโรป พลเมืองที่มีคุณภาพสนับสนุนความเข้มแข็งของชาติ
สื่อเยอรมันบางสำนักถึงกับชี้แนะว่าเยอรมนีควรเป็นผู้นำโลกเสรี เนื่องจากประชาธิปไตยอเมริกาตายแล้วในยุคทรัมป์ คำชี้แนะนอกจากเป็นการเชิดชูประเทศตนเอง ยังเป็นการสนับสนุนนายกฯ แมร์เคิลด้วย
ทุกวันนี้ โลกไม่ได้ตกอยู่ใต้ความบาดหมางด้วยลัทธิอุดมการณ์การเมืองที่แตกต่างอีกแล้ว หากผู้ใดยังยกเรื่องนี้เป็นเหตุผล ชี้ได้เลยว่าเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างศัตรู สร้างความขัดแย้ง ใช้ความขัดแย้งเป็นเครื่องตักตวงผลประโยชน์
สงครามนิวเคลียร์ล้างโลกยังมีโอกาสเป็นไปได้ เพราะสหรัฐกับรัสเซียยังคงหัวรบจำนวนมาก รัฐบาลทรัมป์สั่งให้ยกเครื่องกองกำลังนิวเคลียร์ใหม่หมด ส่วนรัสเซียในยุคปูตินกำลังฟื้นฟูกองกำลังนิวเคลียร์ด้วยอาวุธรุ่นใหม่ แต่โอกาสเกิดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกมีน้อยมาก
ความท้าทายใหญ่ของโลกคือ การจัดการเรื่องภายในของแต่ละประเทศมากกว่า รัฐบาลทุกประเทศให้ความสำคัญกับความสงบเรียบร้อยภายใน ให้คนมีงานทำ มีกินมีใช้ ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันไปตามอัตภาพ คำถามจึงอยู่ที่ จะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์อย่างไร จะใช้เพื่อทำลายหรืออยู่ร่วมกันอย่างสันติ
หากเยอรมนีหรืออียูตั้งใจอยู่ร่วมกับประเทศอื่นๆ อย่างสงบ แก้ปัญหาด้วยสันติวิธีจริงๆ มุ่งการค้าพหุภาคีตามกติกา ไม่ข่มขู่คุกคาม ไม่พยายามล้มล้างรัฐบาลประเทศอื่นๆ มุ่งรักษาสิ่งแวดล้อม ให้โลกเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เช่นนี้สมควรเป็นประเทศหรือกลุ่มภาคีที่น่าสนับสนุน
ให้แสดงบทบาทถ่วงดุล ต่อต้านความสุดโต่ง เป็นอีกปากเสียงสำคัญที่จะพูดคุยท้วงติงรัฐบาลประเทศที่ก่อปัญหา
เยอรมนีหรืออียูแม้ไม่อาจเป็นอภิมหาอำนาจโลก ไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะเป็นเช่นนั้น แต่จะเป็นภาคีสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกจะสนับสนุน เป็นผู้มีส่วนสร้างและรักษาระเบียบโลกใหม่ ร่วมกับมหาอำนาจอื่นๆ
จังหวะนี้เป็นโอกาสสำคัญที่เยอรมนีกับอียูจะแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยู่ใต้อิทธิพลของอีกฝากแอตแลนติก แสดงภาวะผู้นำในเวทีโลก ต่อต้านบรรดารัฐบาลสุดโต่ง ผู้ที่มักชอบข่มขู่คุกคามประเทศอื่นๆ
หากเป็นเช่นนี้ ระบบอำนาจโลกจะเป็นพหุภาคีที่มีเยอรมนีกับอียูคอยช่วงถ่วงดุลจีน รัสเซีย สหรัฐ ฯลฯ เป็นตัวแทนระบอบประชาธิปไตยอีกแบบที่แตกต่างจากอเมริกาซึ่งกำลังถอยห่างจากเสรีประชาธิปไตย
หากเยอรมนีกับอียูไม่แสดงบทบาทปล่อยให้โอกาสหลุดลอย โลกในอนาคตอาจก้าวสู่ความวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม อำนาจนิยมเบ่งบาน ความสุดโต่งขยายตัว เศรษฐกิจโลกถดถอย เมื่อนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นับวันโลกจะเล็กลง บรรดาประเทศต่างๆ ใกล้ชิดยิ่งขึ้น.
--------------------------------
ภาพ : อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |