ประชุม คณะกรรมการฯ การใช้ประโยชน์จากกัญชา วางกรอบ 1 พ.ค. 62 ต้องนำ "กัญชา" มาวิจัยในคนและใช้ทางการแพทย์ได้ทันที
นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2561 ว่า มีการหารือถึงร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่จะให้นำกัญชามาวิจัยทางการแพทย์ในมนุษย์ได้ ซึ่งจากการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับหลักการไปเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2561 และมีเวลาให้คณะกรรมาธิการพิจารณา 90 วัน จึงคาดว่า กฎหมายดังกล่าวจะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ช่วง ต.ค.นี้ และจะมีผลบังคับใช้ใน 180 วัน คือช่วง เม.ย. 2562 ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงวางกรอบระยะเวลาในการดำเนินงาน ว่า วันที่ 1 พ.ค. 2562 จะต้องสามารถนำกัญชามาใช้เป็นยาทางการแพทย์ หรือศึกษาวิจัยในมนุษย์ได้ ทั้งนี้ มีคณะทำงาน 4 คณะ ที่ต้องไปวางกรอบระยะเวลาในการทำงานให้ชัดเจน เช่น คณะทำงานเพื่อพัฒนาการสกัดฯ จะทำอย่างไรให้มีน้ำมันกัญชาหรือยากัญชาใช้ภายในวันที่ 1 พ.ค. 2562 หรือคณะทำงานเพื่อวางระบบการควบคุมฯ ที่มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหลัก ก็ต้องไปออกกติกาต่างๆ ทำอย่างไรให้มีผลิตภัณฑ์ใช้ ใช้ทางการแพทย์อย่างไร ใครจะเป็นคนสั่งจ่าย การศึกษาวิจัยทำอย่างไร ผลิตระดับอุตสาหกรรมทำอย่างไร เป็นต้น โดยการประชุมครั้งหน้าแต่ละคณะทำงานต้องวางกรอบการทำงานที่ชัดเจนแล้ว เพื่อให้ทั้งหมดมีการใช้ได้ในวันที่ 1 พ.ค. 2562
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการรายงานความคืบหน้านั้น คณะทำงานเพื่อพิจารณาการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และ แพทย์แผนไทย รายงานว่า โรคที่มีการศึกษาวิจัยชัดเจนแล้วว่าใช้กัญชาได้มี 3 กลุ่ม คือ แก้คลื่นไส้อาเจียนในคนไข้มะเร็งที่รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักในเด็ก และปลอกประสาทอักเสบ ส่วนโรคที่มีการศึกษาวิจัยแต่ยังไม่ชัดเจน เช่น โรคลมชักที่ดื้อยา การมีผลต่อเซลล์มะเร็งในคนหรือไม่ โรคพาร์กินสัน และจิตเวช อย่างโรคอัลไซเมอร์ ส่วนแพทย์แผนไทยมีการยกเข้ามา 4 ตำรับ ซึ่งขอให้คณะทำงานฯ ไปศึกษาว่า ตำรับที่ต้องใช้ประกอบด้วยแคนนาบิดอยล์ หรือ CBD และเตตระไฮโดรแคนนาตินัล หรือ THC อัตราส่วนเป็นอย่างไร ปริมาณคนไข้ทั้งหมดเยอะหรือไม่ เพื่อจะได้ทราบว่าจะต้องมีน้ำมันกัญชาหรือยากัญชามากเท่าไร
สำหรับกรณีโซเชียลมีเดียระบุวิธีสกัดกัญชาแบบพื้นบ้าน นั้น ไม่แนะนำให้สกัดเอง คิดว่ากัญชาน่าจะสกัดง่ายด้วยเอทานอล แต่อาจจะอันตราย ส่วนในระดับอุตสาหกรรมจะมีระบบการควบคุม แต่ในต่างประเทศบางแห่งหันมาใช้คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นระบบที่ปลอดภัยกว่า อภ.ก็ต้องไปดูว่า สกัดด้วยวิธีไหนปลอดภัย หรือได้ตัวยามากกว่ากัน และเปรียบเทียบความคุ้มค่า
นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ขอย้ำว่า ขณะนี้กัญชายังไม่สามารถใช้กับมนุษย์ได้ ทำได้เพียงแค่ขออนุญาตปลูก นำเข้า และสกัด แต่จากที่คาดคือ พ.ค. 2562 จะนำกัญชามาใช้ในมนุษย์ได้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น และต้องใช้ตามข้อบ่งชี้ ซึ่งคณะทำงานเพื่อวางระบบการควบคุมฯ จะเสนอคณะกรรมการยาเสพติดว่า กัญชาทางการแพทย์ต้องมีข้อบ่งชี้อะไรบ้าง ส่วนแพทย์ที่จะสั่งจ่ายต้องทำตามข้อบ่งชี้ ม่ต้องมีการขออนุญาต โดยอยู่ระหว่างยกร่างเป็นกฎหมายลูก ซึ่งจะมีทั้งประเด็นการวิจัยในคน การเอาไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมยา
เมื่อถามถึง อภ.ที่กำลังเสนอโครงการขอปลูกและวิจัยทำสารสกัดจากกัญชา นพ.โสภณ กล่าวว่า อภ.จะเสนอโครงการเป็น 2 โครงการ คือ โครงการขอของกลางมาสกัด ซึ่งมีการเสนอแล้ว และการขอปลูกและพัฒนาสายพันธุ์กัญชา อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการ
ผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาสิทธิบัตรกัญชา นพ.โสภณ กล่าวว่า ตนไปพบอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์มาแล้ว ซึ่งจะช่วยเฝ้าระวังให้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ประกาศให้สิทธิบัตร เพียงแต่ที่ผ่านมาช่วงที่ยื่นขอและประกาศโฆษณานั้นไม่มีใครคัดค้าน จึงต้องเข้าสู่การพิจารณาตามกระบวนการ แต่หากเป็นการขอสิทธิบัตรสารสกัดจากพืช ซึ่งกฎหมายระบุว่าไม่สามารถทำได้ ก็จะถูกตีตกไป ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็เฝ้าระวังให้ในเรื่องนี้ โดยการสกัดขณะนี้คงใช้ของกลางไปก่อน ซึ่งก็จะมีมาตรา 101 ทวิ และ 102 ทวิ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ที่กำหนดว่าเมื่อมีการตรวจพิสูจน์ชนิดและปริมาณยาเสพติดแล้ว กระทรวงสาธารณสุขสามารถทำลายหรือนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่ต้องรอให้คดีสิ้นสุด ตอนนี้ก็ต้องนำของกลางมาลองสกัด หากดีครั้งหน้าสามารถจับกัญชาแบบนี้ได้ก็ต้องเก็บในคลังไว้ให้ดี ส่วนการพัฒนาสายพันธุ์นั้น อย่างแพทย์แผนไทยก็ระบุเลยว่าต้องใช้กัญชาพันธุ์ไทย .