วิวงามจนถูกขนามนามว่าเป็น “วิวล้านดอลลาร์” จากเขาฮาโกดาเตะ
กว่าฝนจะหยุดตกก็ปาเข้าไปเกือบ 11 โมง ผมจึงได้ออกจากโรงแรมแคปซูล เดินราว 1 กิโลเมตรไปยังตลาดเช้าฮาโกดาเตะ ตั้งอยู่ติดๆ กับสถานีรถไฟ ร้านขายอาหารสดโดยเฉพาะปูจักรพรรดิและปูขนยังคงเปิดอยู่หลายร้าน แต่ร้านอาหารแบบนั่งรับประทานกำลังทยอยปิด ไม่มีเวลาให้เลือกมากจึงเสี่ยงเดินเข้าไปในร้านหนึ่ง ได้ข้าวสวยกับปลากะพงแดงย่างซอสเป็นมื้อเที่ยง แล้วเดินผ่านย่านตลาดไปบนถนนเลียบอ่าวฮาโกดาเตะ มีคนจอดจักรยานยืนตกปลาอยู่เป็นช่วงๆ เดินไม่นานนักก็ถึงเขตท่าเรือที่มีโกดังอิฐแดงนับสิบหลังตั้งสวยเด่นเรียงกันบนถนนริมฝั่ง
เมืองฮาโกดาเตะมีความสำคัญต่อญี่ปุ่นมาตั้งแต่อดีต หลังจากกองทัพเรือของสหรัฐอเมริกาโดย “พลเรือจัตวา แมทธิว เพอร์รี” นำกองเรือรบมาปิดอ่าวโตเกียวในปี ค.ศ. 1853 เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นยังปิดประเทศ ข่มขู่จะทำลายบ้านเมืองให้ย่อยยับจนนำไปสู่สนธิสัญญาทางการค้า ฮาโกดาเตะก็เป็นหนึ่งในเมืองท่าแรกๆ ที่ต้องเปิดให้กับมหาอำนาจ และเมืองฮาโกดาเตะก็เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดในญี่ปุ่นตอนเหนือ อีกทั้งเคยเป็นเมืองที่ใหญ่สุด (ประชากรมากสุด) บนเกาะฮ็อกไกโด กระทั่งเกิดไฟไหม้ใหญ่ในปี ค.ศ. 1934 ปัจจุบันจึงเป็นรองเมืองซัปโปโรและอาซาฮิคาวะ
โกดังหรือคลังสินค้าอิฐแดงคาเนโมริ (Kanemori Red Brick Warehouse) นี้สร้างขึ้นโดย “คูมาชิโระ วาตานาเบะ” เมื่อปี ค.ศ. 1887 หลังจากเดินทางมาจากนางาซากิ เมืองทางตอนใต้ของเกาะคิวชูเมื่อปี ค.ศ.1863 เพื่อเปิดร้านทำการค้าส่งทางเรือบริเวณอ่าวแห่งนี้ คลังสินค้าที่ปัจจุบันกลายเป็นที่ตั้งของร้านอาหารและร้านค้าทั่วไปมาจากการสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1909 นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเที่ยว ถ่ายรูป และใช้บริการร้านรวงเป็นจำนวนมาก ผมได้ยินเสียงภาษาไทยแว่วไปแว่วมาอยู่หลายรอบ
ย่านโกดังอิฐแดง ด้านหลังคือเขาฮาโกดาเตะ
ไม่ห่างจากย่านโกดังอิฐแดง มีรูปปั้นชายหนุ่มยืนอยู่ในเรือพายขนาดเล็ก ป้ายเขียนไว้ว่า นี่คือหนึ่งในนักการศึกษายุคเมจิ ด้วยความมุ่งหมายที่จะได้วิชาความรู้จากต่างแดน เขาจึงฝ่าฝืนกฎข้อห้ามการเดินทางออกนอกประเทศ คืนหนึ่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1864 เขาได้พายเรือออกไปจากฝั่งฮาโกดาเตะจนไปถึงเรือสินค้าของอเมริกันที่ทอดสมออยู่นอกชายฝั่งแล้วขอขึ้นเรือนั้นไปด้วย เขาประสบความสำเร็จได้จากญี่ปุ่นสมใจ ก่อนจะเดินทางกลับประเทศในอีกหลายปีต่อมาเพื่อเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษโดชิฉะ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโดชิฉะ) ชายผู้นี้ชื่อ “โจเซฟ ฮาร์ดี เนชิมะ”
ถนนที่ผ่านย่านโกดังอิฐแดงไปตัดกับถนนใหญ่อีกสายซึ่งเลียบมากับโค้งอ่าวอีกด้านกลายเป็นสี่แยก เมื่อข้ามสี่แยกนี้ไปถนนก็จะพุ่งเชิดขึ้นเนินไปยังย่าน “โมโตมาชิ” (มีถนนตัดขึ้นไปยังเนินนี้อีกหลายเส้น) เป็นที่ตั้งของศาลากลางแห่งเก่า (Old Public Hall of Hakodate Ward) ในสไตล์โคโลเนียล ที่อ่านจากเอกสารแล้วรู้สึกน่าไปเยี่ยมชมอย่างยิ่งเพราะวิวที่มองลงมายังอ่าวฮาโกดาเตะ “มิชลินกรีนไกด์” มอบให้ถึง 2 ดาว (จากคะแนนเต็ม 3 ดาว)
นอกจากนี้ ย่านโมโตมาชิยังเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลเก่าอังกฤษ สถานกงสุลเก่ารัสเซีย โบสถ์คริสต์ทั้งนิกายโรมันคาธอลิก, รัสเซียนออร์ธอดอกซ์ และอังกลิกันแบบอเมริกา อีกทั้งศาลเจ้าของทหารฝ่ายจักรพรรดิที่รบกับฝ่ายโชกุนโตกุกาวะก็อยู่ในย่านนี้ หากเดินไหวก็จะให้ภาพและบรรยากาศชวนมอง ไม่ว่าจะมองขึ้นไปบนเนินเขาหรือมองลงมายังบริเวณท่าเรือ นอกจากนี้ก็ยังเป็นเขตพื้นที่ต่อเนื่องขึ้นไปยังภูเขาฮาโกดาเตะ ภูเขาที่ทำให้เมืองฮาโกดาเตะดูเหมือนติ่งในแผนที่ของเกาะฮ็อกไกโด เกิดเป็นอ่าวหลบลมพายุที่วาณิชทางทะเลได้พึ่งพา
ผู้ใฝ่รู้ที่ฝ่ากฎเกณฑ์จนกลายมาเป็นนักวิชาการคนสำคัญของประเทศ
ผมยังไม่เดินขึ้นเนินโมโตมาชิไปแต่เดินไปบนถนนเส้นหลักเพื่อจะขึ้นเนินจากอีกถนน เนื่องจากเส้นทางเดินนี้ผ่านเสาไฟฟ้าคอนกรีตเสาแรกของประเทศญี่ปุ่น และเกือบจะเดินเลยไปเพราะดูธรรมดาไม่ได้มีการผูกผ้าหลากสีให้ดูโดดเด่นเป็นเครื่องหมาย อีกทั้งยังมีการใช้งานอยู่ตามปกติ ยังดีที่มีป้ายข้อมูลตั้งอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าสร้างขึ้นแทนเสาไม้ต้นเดิมเมื่อปีใด
จากนั้นก็เดินขึ้นเนินโมโตมาชิ แต่ไม่ได้ไปเดินเล่นตามสถานที่สำคัญๆ ที่ได้กล่าวถึง เพราะเวลาห้าโมงเย็นนิดๆ ทว่าฟ้าในฤดูใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีทำท่าจะมืดลงแล้ว จึงเดินเลยไปจนถึงสถานีรถกระเช้าขึ้นยอดเขาฮาโกดาเตะ ระบบรถกระเช้าที่ให้บริการนักท่องเที่ยวถึงปีละ 1.56 ล้านคน
บริเวณลานจอดรถของสถานีมีรถทัวร์จอดอยู่หลายคัน คิวซื้อตั๋วขึ้นรถกระเช้าก็ยาว แต่การจัดการที่ดีทำให้รอไม่นานนักก็ได้ตั๋วในราคา 1,280 เยน (เที่ยวเดียว 780 เยน) แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวตามฝูงชนขึ้นบันไดไปทีละขั้นทีละชั้น มีภาพพาโนรามาขนาดใหญ่ 2 ภาพ ภาพหนึ่งเป็นภาพขาว-ดำ อีกภาพเป็นภาพสี ติดเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของวิวจากยอดเขาที่มองกลับเข้าไปยังเมืองฮาโกดาเตะระหว่าง 2 ยุค ซึ่งการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในยุคที่ยังถ่ายด้วยฟิลม์ขาว-ดำนั้นก็หนาแน่นไม่น้อย และมีเรือจอดเต็มอ่าว ผิดกับภาพสีที่มีเรืออยู่ไม่กี่ลำ แต่มีอาคารสูงเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
เสาไฟฟ้าคอนกรีตต้นแรกของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันยังคงใช้งานอยู่
จอโทรทัศน์ที่ติดอยู่ขึ้นข้อความว่า “วันนี้มีหมอก อาจมองวิวไม่ชัด” แต่เมื่อรถกระเช้านำผู้โดยสารที่จุได้เต็มที่ถึง 125 คน ใช้เวลา 3 นาที ขึ้นไปยังยอดเขาความสูง 334 เมตรแล้วมองลงมาก็ถือว่าหมอกไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าใดนัก
ที่สถานีด้านบนที่เรียกว่าซันโจ (สถานีล่างเรียกว่าซันโรคุ) มีระเบียง 2 ชั้น อีกทั้งห้องกระจกใสสำหรับชมวิวส่วนคอดโค้งของอ่าวทั้งฝั่งทะเลเปิดด้านขวา (มหาสมุทรแปซิฟิก) และฝั่งอ่าวฮาโกดาเตะด้านซ้าย หันหลังให้กับช่องแคบสึการุที่คั่นเกาะฮ็อกไกโดกับเกาะฮอนชู แต่เชื่อมกันอยู่ใต้น้ำทะเลโดยอุโมงค์เซกัง ความยาว 54กิโลเมตร
แสงไฟของอาคารบ้านเรือนทอดนำสายตาจากด้านล่างของเขาฮาโกดาเตะไปสู่ส่วนคอดดังกล่าว ก่อนแผ่ออกเป็นเมืองฮาโกดาเตะ คล้ายรูปนาฬิกาทราย หรือเอวองค์ของนางในวรรณคดี สมกับที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “วิวล้านดอลลาร์” (Million Dollar View) เคียงไปกับวิวจากภูเขามายะในเมืองโกเบ และวิวเมืองนางาซากิจากภูเขาอินาสะ ขณะที่ “มิชลินกรีนไกด์” ยกให้ 3 ดาวเต็ม เป็นสุดยอดวิวในระดับเดียวกับที่ฮ่องกง และเมืองเนเปิลส์ ของอิตาลี
ส่วนคอดฝั่งซ้ายคืออ่าวฮาโกดาเตะ ฝั่งขวาคือมหาสมุทรแปซิฟิก
ผู้มาเยือนขึ้น-ลง หมุนเวียนกันตั้งแต่ 10 โมง ยัน 4 ทุ่ม ช่วงเวลาที่เหมาะเหม็งควรขึ้นมามากที่สุดคงเป็นเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกและอยู่จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท เพื่อจะได้ชมและถ่ายภาพที่เห็นทั้งแสงธรรมชาติและจากแสงไฟนีออน และเนื่องจากนักท่องเที่ยวบางประเภทชอบแช่ถ่ายรูปที่มุมโปรดเป็นเวลานาน ไม่ยอมหลีกทางให้คนอื่น จึงต้องเผื่อเวลาบนนี้ไว้พอสมควร
ผมเดินออกนอกสถานีเห็นว่ามีรถขึ้นมาจอดและมีทางสำหรับปั่นจักรยานและเดินขึ้น-ลงได้ ก็เกือบที่จะตัดสินใจเดินลงเพราะผู้คนใช้บริการรถกระเช้าเยอะเหลือเกิน แต่เดินกลางคืนคงไม่เห็นอะไรที่น่าอภิรมย์มากนัก อีกทั้งเส้นทางเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ จึงเข้าคิวลงรถกระเช้ากลับสู่สถานีฐานแล้วเดินลงเนินบนถนนเส้นเดิม ซึ่งเป็นถนนหลักที่ตรงไปยังใจกลางเมือง และได้โอกาสแวะที่ร้านสะดวกซื้อเนื่องจากคอแห้งเต็มที หยิบน้ำดื่มออกมาให้แคชเชียร์คิดเงิน ที่เคาน์เตอร์มีจุดคืนภาษีสำหรับชาวต่างชาติที่รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งออกมากระตุ้นการท่องเที่ยว น้ำของผมราคาไม่กี่เยนจึงยินดีจ่ายภาษีด้วยความเต็มใจ
เพิ่มมุมมองให้กับอ่าวฮาโกดาเตะ
บนถนนเส้นนี้มี Hakodate Beer Restaurant ตั้งอยู่ ขนาดใหญ่และน่าสนใจมากแต่ผมมีธุระสำคัญรออยู่ที่สถานีรถไฟกลัวว่าจะปิดทำการเสียก่อน สอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทเจอาร์ว่าตั๋วชิงกันเซ็นสำหรับเข้าโตเกียววันมะรืนเที่ยวประมาณเที่ยงวันหรือบ่ายๆ มีว่างหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าเต็มหมดแล้ว เหลือเฉพาะเที่ยว10.49 น. (ออกจากสถานีชิน-ฮาโกดาเตะ) ต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า แต่ก็จำเป็นต้องจองไว้เพราะวันมะรืนเป็นวันสุดท้ายที่สามารถใช้ตั๋วเจอาร์พาสได้
เมื่อได้ตั๋วแล้วก็เดินหาเอทีเอ็ม แต่ตู้ไม่รับบัตรถึง 2 แห่ง ท้องก็เริ่มร้อง ในกระเป๋ามีเงินอยู่ 3 พันเยน ผมเดินเข้าร้านที่มีภาษาไทยเขียนไว้ด้วยว่า “สวัสดี” ถามพนักงานสาวว่ารับบัตรเดบิตไหม เธอตอบว่ารับเฉพาะบัตรเครดิต จึงขอร้องไปว่าถ้าผมกินถึง 3 พันเยนเมื่อไหร่รบกวนแจ้งด้วย เธอก็ยินดี
ผมสั่งอาหารอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเบียร์สดนั้นสั่งมาเพียงแก้วเดียว เรียกคนเดินโต๊ะมาถามอีกครั้งว่าถึง 3 พันเยนหรือยัง เธอก็บอกยัง จึงค่อยสบายใจขึ้น จนเมื่ออิ่มดีแล้วก็ลงมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์ สนนราคาแค่ 2พันเยนกว่าๆ เท่านั้น แต่หมดโอกาสซ่าต่อในคืนนี้ เดินคอตกกลับโรงแรมแคปซูล ไม่วายลองเสี่ยงที่ตู้เอทีเอ็มของร้านสะดวกซื้อยอดนิยมสีเขียว-แดง ปรากฏว่าเงินเยนไหลออกมาทำเอาเกือบน้ำตาซึม เดินไปเลือกเบียร์ดำซัปโปโรและเบียร์ลาเกอร์กิรินอย่างละกระป๋องไปเปิดดื่มในห้องล็อบบี้ของที่พัก
นักท่องเที่ยวไม่ยอมปล่อยมุมดีๆ ไปง่ายๆ
พนักงานต้อนรับคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เธอมีหน้าที่รับมือแขกที่เป็นชาวต่างชาติ และรับศึกแขกเรื่องมากด้วย ผมเห็นเธอต้องนั่งอธิบายเรื่องราวต่างๆ แก่คุณป้านักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษเก่ง กว่าเบียร์ผมจะหมดทั้ง 2 กระป๋องน้องหนูก็ยังอธิบายให้คุณป้าฟังไม่เสร็จสรรพเพราะคุณป้าอยากรู้ไปเสียทุกเรื่อง คงลืมไปว่าน้องเขาไม่ได้เป็นไกด์
เช้าวันต่อมาผมเดินลงมายังบริเวณล็อบบี้ หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวประจำวันนี้จากโทรศัพท์มือถือ และตัดสินใจว่าจะไปเที่ยว “ป้อมโกเรียวคาขุ” ป้อมปราการเมืองในยุคปลายของโชกุนตระกูลโตกุกาวะที่มีคูน้ำล้อมรอบเป็นรูปดาวห้าแฉก หากมองจากมุมสูงโดยเฉพาะจากหอคอยโกเรียวคาขุความสูง 107 เมตรที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันก็จะได้มุมมองที่ขรึมขลังอลังการมาก ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เมืองฮาโกดาเตะ และเป็นสถานที่ปิกนิคยอดนิยมในช่วงดอกซากุระบาน ระยะทางห่างจากที่พักประมาณ 3 กิโลเมตร แต่เมื่อดูข้อมูลและภาพ “อุทยานแห่งชาติโอนุมะ” ที่ต้องนั่งรถไฟไปประมาณ 40 นาทีก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
พี่ฟันหลอคนเก่า วันนี้มาทำงานตั้งแต่เช้า เดินเข้ามาทักทาย ผมจึงถามว่าสองแห่งนี้ควรจะไปที่ไหนดี เพราะดูเวลาแล้วจะควบทั้งสองที่คงไม่ทันเนื่องจากอยู่ห่างกันมาก พี่ฟันหลอตอบอย่างมั่นใจ “โอนุมะสิ แหมถามได้” ผมจึงต้องสละป้อมปราการรูปดาวในการมาเยือนคราวนี้ และดูๆ ไปพี่ฟันหลอน่าจะเป็น “เจ๊”
บรรยากาศภายในตลาดเช้าฮาโกดาเตะ
คำนวณแล้ววันนี้มีเวลาที่จะไปหาอะไรกินในตลาดเช้าก่อนขึ้นรถไฟไปโอนุมะ ก็เลยเข้าไปเดินเลือกเดินชม เห็นบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคัก โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณตรงกลางของตลาดจะมีบ่อให้ลูกค้าตกหมึกสดๆ ตอนที่มีคนตกหมึกได้แฟนๆ ที่มุงดูกันอยู่ก็ปรบมือส่งเสียงกรี๊ดกันเกรียวกราว แล้วพ่อครัวก็ปรุงให้รับประทานกันตรงนั้น นอกจากการตกหมึกที่นิยมแล้วก็มีหลายร้านที่ขายหอยเชลล์ตัวใหญ่ย่างสดๆ หน้าร้าน ผมสั่งมาลอง 1ตัวในราคา 700 เยน และที่มีมากไม่แพ้กันคือเมล่อนญี่ปุ่น มีทั้งขายเป็นลูกและเป็นชิ้นที่ผ่าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีเหลืองส้ม ราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปอยู่มาก ผมลองชิมเมล่อน 1 ชิ้น ราคา 300 เยน หวานหอมจนไม่อยากกินอะไรอีก แต่ต้องกินเพราะต้องไปเที่ยวต่ออีกครึ่งค่อนวัน
หลังจากเดินดูตลาดอีกหลายส่วน รู้สึกเมื่อยเท้าจึงเดินเข้าไปหาที่นั่งในฟู้ดคอร์ต ทั้งที่มีร้านอยู่ด้านในและนอกตลาดอีกมากมายผมก็ดันลุกขึ้นไปสั่งอาหารจากร้านหนึ่งในฟู้ดคอร์ตแห่งนี้ ได้ข้าวหน้าเนื้อปู ผสมไข่หอยเม่น และไข่ปลาแซลม่อนมาเป็นมื้อเช้า รูปลักษณ์ดีแต่ไม่ค่อยอร่อย แถมยังราคาแพง
ผมพลาดมหันต์ตั้งแต่เดินเข้าฟู้ดคอร์ตแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |