หลังเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว โดยประกาศนโยบายการเปิดประเทศที่จะเริ่ม 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป สร้างความหวังให้แก่คนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มบุคคล ผู้ประกอบการในธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในวิกฤตโควิดตลอดกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงความพร้อมในการเปิดประเทศเพื่อพลิกฟื้นธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีนี้ หลังมีการเปิดประเทศ 1 พ.ย. โดยเขากล่าวว่าจากคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน ให้นักท่องเที่ยวจากประเทศความเสี่ยงต่ำที่ฉีดวัคซีนโควิดครบโดสแล้วสามารถเดินทางมาได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่การไม่ต้องกักตัวดังกล่าวต้องมีข้อแม้คือ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนโควิดมาแล้วอย่างน้อยสองเข็ม และต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ที่รับรองโดยประเทศต้นทางมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง และเมื่อมาถึงประเทศไทยแล้วต้องทำ RT-PCR อีกครั้งหนึ่ง โดยเมื่อผลออกมาเป็นลบก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้เลยไม่ต้องกักตัว 14 วันหรือ 7 วันแบบในอดีต ซึ่งขอคอนเฟิร์มว่าจังหวัดที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ใช่ 15 จังหวัด แต่จริงๆ คือ 13 จังหวัด เพราะจังหวัดกระบี่กับจังหวัดพังงาได้เปิดไปก่อนแล้ว แต่เป็นการเปิดเพียงบางส่วน แต่ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป กระบี่กับพังงาจะเปิดทั้งจังหวัด ที่ก็คือภูเก็ต, กระบี่, พังงาเปิดทั้งจังหวัด
นอกเหนือจากสามจังหวัดดังกล่าวแล้วก็ยังมีอีกหลายจังหวัด อาทิ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี ที่จะรวมถึงเมืองพัทยา ภาคเหนือที่เชียงใหม่ (อ.เมืองเชียงใหม่, อ.แม่ริม, อ.แม่แตง, อ.ดอยเต่า) ส่วนที่ภาคอีสานคือ จังหวัดเลย (อ.เชียงคาน) ส่วนภาคใต้ก็คือที่เกาะพยาม ที่ระนอง, หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์, เทศบาลเมืองชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น ส่วนหลังจากนี้จะมีการเปิดจังหวัดใดเพิ่มเติมต้องติดตามผลการประชุมของ ศบค.ที่คงจะมีการประกาศเพิ่มเติม โดยทั้งหมดคือการตอบโจทย์ของนายกรัฐมนตรีที่เคยบอกว่าจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน
รมว.การท่องเที่ยวฯ ย้ำว่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะเข้ามาประเทศไทยได้ ซึ่งจากที่มีการประชุม ศบค.เมื่อวันที่ 14 ต.ค. เท่าที่ทราบน่าจะมีประเทศที่ใกล้เคียงหลายประเทศ แต่ ศบค.ยังไม่ได้มีการประกาศออกมา ที่ก็คงประกาศภายในเร็วๆ นี้ ซึ่งตรงนี้ก็ชัดเจนว่าสำหรับประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, สวิตเซอร์แลนด์, สเปน, เยอรมนี, อิตาลี, รัสเซีย ส่วนประเทศในทวีปเอเชียก็น่าจะเป็นจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ รวมถึงอินเดีย คิดว่าจะรวมอยู่ในกลุ่มประเทศที่ ศบค.จะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้
"สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเป็นมิติใหม่ และเป็นการก้าวล้ำหน้ากว่าอีกหลายประเทศที่เพิ่งจะมีการประกาศ ว่าประเทศบางประเทศอาจจะประกาศ สามประเทศ ห้าประเทศ แปดประเทศ แต่เราน่าจะประกาศเท่าที่ผมได้ข่าวมาประมาณ 30-40 ประเทศ"
พิพัฒน์-รมว.การท่องเที่ยวฯ กล่าวต่อไปว่า จากนโยบายดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้เรารุกและก้าวไปได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้ทาง ศบค.ก็คงทราบแล้วในการประชุมเมื่อ 14 ต.ค. แต่อาจจะติดเงื่อนไขเล็กน้อยเลยยังไม่มีการประกาศออกมา ซึ่งโดยปกติกระทรวงสาธารณสุขกับ ศบค.ก็มีการหารือกันอยู่แล้ว รวมถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็มีการหารือกัน แต่อาจจะยังติดปัญหาเล็กน้อยทำให้ยังไม่สามารถประกาศได้ ขอให้รอคำประกาศจาก ศบค.อีกครั้งหนึ่ง
-การที่จะเปิดประเทศครั้งนี้มีสิ่งที่ยังต้องกังวลอะไรหรือไม่?
สิ่งที่กังวลที่สุดตอนนี้บอกได้เลยว่าเรายังฉีดวัคซีนได้ไม่ครบ ถึงแม้ถึงวันที่ 1 พ.ย. วัคซีนเราก็ยังไม่ครบ แต่ใน 15 จังหวัดที่เปิด ต้องบอกว่าฉีดวัคซีนครบแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ คือต้องมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ทำไมบางจังหวัดเราถึงเปิดเพียงบางพื้นที่ ก็เพราะพื้นที่ส่วนที่เหลือยังไม่ครบ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่ผมบอกว่ายังไม่สบายใจ ก็เพราะผมอยากให้เปิดทั้งประเทศเลยทีเดียว แต่ก็อยากขอให้อดใจรอ เพราะมีอีกหลายจังหวัดถามมาว่า "จังหวัดของเขาที่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาตั้งเยอะ ทำไมไม่เปิดโอกาสให้จังหวัดเขาได้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติบ้าง" ก็ขอชี้แจงว่าเรื่องของวัคซีนต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะเราไม่ได้มีวัคซีนกองอยู่บนหน้าตัก จนสามารถฉีดทั้งหมดได้ทีเดียวพร้อมกันทั้งประเทศ ต้องทยอยฉีด ตรงไหนที่มีการแพร่ระบาดมาก รัฐบาลก็ต้องเล็งเห็นความสำคัญ ก็ต้องเรียกวัคซีนไปทำการฉีดเพื่อชะลอการแพร่ระบาด
สำหรับจังหวัดอื่นที่ยังไม่ได้มีการประกาศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปได้ก็อย่าไปกังวล เพราะตอนนี้มีโครงการอย่าง เราเที่ยวด้วยกันเฟสสาม และ ทัวร์เที่ยวไทย ซึ่งช่วงนี้ที่เป็นช่วงไฮซีซันของประเทศไทย ก็ขอเชิญชวนคนไทยเที่ยวในประเทศไทย
-หลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. ตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยประมาณเท่าใด?
ภายในช่วงสองเดือนก่อนสิ้นปี คือ พ.ย.-ธ.ค.64 เราตั้งเป้าไว้ว่าใน 15 จังหวัดทั้งหมดคาดว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเดือนละห้าแสนคน สองเดือนก็น่าจะได้ประมาณหนึ่งล้านคน
ส่วนในไตรมาสแรกของปีหน้า 2565 ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นช่วงที่พีกสุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะการที่จะวางแผนการท่องเที่ยว การจองตั๋วเครื่องบินของนักท่องเที่ยวต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เหมือนกับพวกเราจะไปเที่ยวไหนก็ต้องวางแผนกันล่วงหน้าก่อนสัก 1-2 เดือน ปุบปับเราประกาศเปิดประเทศแล้วเขาจะเข้ามาเลยทีเดียวคงไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นต้นปีหน้า คือช่วงมกราคม 2565 น่าจะมีโอกาสที่สุด และที่สำคัญคือยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวของยุโรป, สหรัฐอเมริกา, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น ซึ่งเขาจะหนาวจัดมาก ก็เป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
พิพัฒน์-รมว.การท่องเที่ยวฯ กล่าวถึงโรดแมปและเป้าหมายที่วางไว้สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงเม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยวในปีหน้าว่า สำหรับโรดแมปการส่งเสริมการท่องเที่ยวในปี 2565 ที่ได้คุยกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คิดว่าหากประเทศไทยเราไม่ได้มีอะไรที่เข้ามาทำให้สะดุด เราคงเปิดหมดทั้งประเทศแน่นอนทุกจังหวัด และน่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา 10-15 ล้านคนในปี 2565 และน่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 1.1-1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเราจะพยายามทำให้ได้ โดยหากทำได้สัก 1 ล้านล้านบาท ก็ถือว่าตัวเลขกลับไปเหมือนตอนปี 2562 ก็เท่ากับ 1 ใน 3 ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็พยายามเชิญชวนคนไทยให้ท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้น
เพราะอย่าลืมว่าในปี 2562 คนไทยเที่ยวในประเทศไทยคิดเป็นเม็ดเงินรวมแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท ที่ก็คือหนึ่งในสามของ 3 ล้านล้านบาท ที่แยกเป็นจากคนไทยหนึ่งล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสองล้านล้านบาท รวมเป็น สามล้านล้านบาท เราก็พยายามจะทำให้ในปี 2565 ถึงไม่ได้หนึ่งล้านล้านบาทสำหรับการเที่ยวภายในประเทศ แต่ก็ขอให้ได้สัก 6-7 แสนล้านบาท บวกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 10 ล้านคน ก็ตีประมาณว่าหกแสนล้านบาท ก็น่าจะได้ที่ประมาณ 1.1 ถึง 1.5 ล้านล้านบาท ตามเป้าหมาย
...เรื่องการเปิดประเทศ เราพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ารอลุ้นอีกสักสองสัปดาห์ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เปิดประเทศแน่นอน แต่หากเกิดกรณีเช่นในช่วงสองสัปดาห์จากนี้มีคลัสเตอร์จนเกิดการแพร่ระบาดของโควิดในเกือบทุกจังหวัด จนมีคนติดเชื้อวันละสามหมื่นถึงสี่หมื่นคน ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นมันก็ต้องหยุด แต่ถ้าอยู่ในลักษณะมีคนติดเชื้อโควิดวันละเกือบหมื่นคนหรือหมื่นคนนิดๆ และตัวเลขผู้เสียชีวิตน้อยลงเรื่อยๆ โดยตัวเลขไม่ถึงหลักร้อย ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีเดินหน้าแน่นอน
-ความเป็นไปได้ในการดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนให้เข้ามาเที่ยวประเทศไทยหลังการเปิดประเทศเป็นไปได้หรือไม่?
ทางตัวผมเองและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ ได้พยายามติดต่อและประสานไปยังรัฐบาลจีน-สถานทูตจีนในประเทศไทย แต่ทางรัฐบาลจีนยังไม่มีนโยบายที่จะให้นักท่องเที่ยวหรือประชาชนชาวจีนออกมาท่องเที่ยวนอกประเทศ เอาเฉพาะเบื้องต้น ภายในปีนี้ไม่มีแน่นอน
ส่วนปีหน้าจะมีการเปิดให้ประชาชนชาวจีนออกมาท่องเที่ยวนอกประเทศได้หรือไม่ ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่นอนคือในปีหน้า 2565 จะมีการจัดแข่งขันกีฬา เอเชียนเกมส์ในเดือนกันยายน เชื่อว่าก่อนถึงเวลานั้นประเทศจีนน่าจะเปิดประเทศให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็จัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ไม่ได้ ซึ่งหากทุกประเทศในโลกนี้เกิดการเดินทาง มีการขับเคลื่อนแล้ว ผมเชื่อว่าด้วยศักยภาพของประเทศจีน ที่มีการผลิตวัคซีนเป็นของตัวเอง เขาไม่น่าจะกังวล ถึงเวลาที่เหมาะสมเชื่อว่าเขาเปิดประเทศแน่นอน ซึ่งทางรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ได้มีการประสานอยู่ตลอดเวลา ว่าหากมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวจีนออกนอกประเทศ อย่าลืมคิดถึงประเทศไทยนะครับ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
รอฟื้นตัว-กลับมาพีกสุดปี 2567
-นโยบายภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จด้วยดี ล่าสุดนักแสดงชื่อดัง รัสเซลล์ โครว์ ก็โพสต์ข้อความและภาพถึงการมาเที่ยวและถ่ายทำภาพยนตร์ที่ภูเก็ต?
การที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศมาถ่ายทำหนังที่ภูเก็ต และมีดาราฮอลลีวูดชื่อดัง รัสเซลล์ โครว์ โพสต์ดังกล่าว สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถามว่าเราประสบความสำเร็จในแง่ของจำนวนคนที่เข้ามาหรือไม่ ผมบอกได้เลยไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป้าของเราตั้งไว้ที่ 1 แสนคนในสามเดือนของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แต่เราได้มาแค่ประมาณ 4 หมื่นคน เป้าที่วางไว้จึงหายไปร่วมหกหมื่นคน ซึ่งต้องบอกว่าตกไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้มาทดแทนก็คือ รายได้จากการท่องเที่ยว จากปกติค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวภูเก็ตต่อคนจะอยู่ที่ประมาณ 45,000-46,000 บาท แต่พอเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ พบว่าเพิ่มขึ้นมาเป็น 60,000 บาทต่อคน ถือว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาในภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ มีรายจ่ายสูง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราได้และประเมินค่าไม่ได้จริงๆ ก็คือ ชื่อเสียงของการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพราะมีแต่คนถามว่า รัฐบาลไทยกล้าดีขนาดไหนถึงกล้าเปิด ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะในเอเชียเรา ไม่มีประเทศไหนเปิดรับนักท่องเที่ยวเลย ประเทศไทยมีความกล้าหาญ นายกรัฐมนตรีมีความกล้าหาญที่จะเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์และรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา จนถึงวันนี้ที่บอกได้เลยว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่ได้นำเชื้อโควิดมาแพร่ให้คนไทย และคนไทยก็ไม่ได้นำเชื้อโควิดไปแพร่ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ที่สำคัญที่สุดเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางกลับจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ พบว่าเมื่อออกนอกประเทศไทยกลับสู่ประเทศต้นทาง ผลสรุปออกมาไม่มีใครเอาเชื้อโควิดไปจากประเทศไทยเลย
สิ่งนี้คือเครดิตของประเทศไทย ที่แสดงให้เห็นว่าเรามีการระวังป้องกันตามมาตรการ DMHTT (แนวทางปฏิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้ในการชะลอการระบาดของ โควิด-19) ที่เคร่งครัดและใช้ได้ผล แต่การที่คนไทยยังมีโอกาสติดโควิดกันอยู่ เพราะคนไทยอยู่กันแบบชุมชนเครือญาติ คือหากมีใครติดโควิดสักคนหนึ่งก็จะแพร่กระจายไปยังคนในครอบครัว และอีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องทางศาสนาประเพณี ซึ่งบางครั้งก็เป็นเหตุสุดวิสัย
พิพัฒน์-รมว.การท่องเที่ยวฯ ย้ำถึงการคาดการณ์ของภาพรวมของการท่องเที่ยวประเทศไทยหลังจากนี้ว่า หากไม่มีเหตุการณ์อะไรอย่างที่มีแพทย์ออกมาพูดไว้ เช่นอาจจะมีโควิดรอบที่ 5 รอบที่ 6 ซึ่งผมคิดว่าหากมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนถึง 70 เปอร์เซนต์ภายในสิ้นปีนี้ หลังกระทรวงสาธารณสุขได้มีการเตรียมวัคซีนไว้แล้ว 150 ล้านโดสสำหรับปี 2565 ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วสำหรับการเปิดประเทศ เพราะวันนี้คนไทยเรียนรู้แล้วว่าโควิดคืออะไร เช่นเดียวกับทุกคนในโลกที่รู้แล้วว่าโควิดเป็นอย่างไร ต่อไปโควิดก็จะกลายเป็นไข้หวัดประจำถิ่น เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ที่พวกเราก็ฉีดวัคซีนบ้างไม่ฉีดบ้าง เพราะทุกคนมีภูมิต้านทานแล้วมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้าจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา โดยจะกลับไปถึงจุดพีกสุดแบบปี 2562 ได้ในช่วงปี 2567
"สามปีต่อจากนี้คือปี 2565-2566-2567 เราก็ควรจะกลับไปสู่สภาวะเหมือนเมื่อตอนนั้น แต่รายได้จากการท่องเที่ยวมั่นใจว่าในปี 2566 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเท่ากับปี 2562 แต่ผู้เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย จำนวนอาจจะน้อยกว่าเดิม แต่รายได้จากการท่องเที่ยวจะมากกว่าเดิม ก็มั่นใจว่าในปี 2565 น่าจะได้สักครึ่งหนึ่งของปี 2562 ส่วนปี 2566 ควรจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเท่ากับปี 2562 ส่วนปี 2567 ไทยอาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาเท่ากับปี 2562 แต่รายได้ควรจะทะลุ 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปแล้ว" รมว.การท่องเที่ยวฯ กล่าว
..................................................................................
ทุ่มจ้าง 'ลิซ่า แบล็กพิงก์' - 'แอนเดรีย โบเซลลี'
เคาต์ดาวน์เมืองไทย หวังสร้างแรงบันดาลใจ
นอกเหนือจากคำประกาศของนายกรัฐมนตรีในเรื่องการเตรียมเปิดประเทศ 1 พ.ย.แล้ว ก็ยังมีกรณีที่ตั้งแต่ 1 ธ.ค.จะให้มีการดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร เปิดสถานบันเทิงได้ เพื่อต้องการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและรองรับเทศกาลปีใหม่ ซึ่งทำให้การนับถอยหลังต่อจากนี้อีกประมาณสองเดือนครึ่ง ที่จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 คึกคักขึ้นมาทันที
โดยเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจและถูกพูดถึงมากในเวลานี้ก็คือ กรณีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมร่วมกับบริษัทเอกชนติดต่อให้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ หรือ ลลิษา มโนบาล ศิลปินเคป๊อปสายเลือดไทยชื่อดังระดับโลก และ อันเดรอา โบเชลลี นักร้องโอเปราชื่อดังของโลกที่พิการทางสายตา มาร่วมกิจกรรมเคาต์ดาวน์ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 ที่จังหวัดภูเก็ต ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
ความชัดเจนของเรื่องดังกล่าวมีการเปิดเผยจาก พิพัฒน์-รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ว่าได้รับคำยืนยันจากเอเยนซีของศิลปินทั้งสองคนแล้วว่า พร้อมจะมาเปิดการแสดงและร่วมงานเคาต์ดาวน์ที่ประเทศไทยและภูเก็ตแน่นอน โดยได้เปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ไว้ว่า กรณีของลิซ่า แบล็กพิงก์นั้น เป็นการให้เอเยนซีเป็นผู้ประสาน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ประสานเอง
"ซึ่งข่าวและข้อมูลที่ส่งกลับมายืนยันว่า ลิซ่ามาแน่นอน มาเคาต์ดาวน์ที่จังหวัดภูเก็ต"
...อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวผมเองผมอยากให้แยกลิซ่ากับอันเดรอา โบเชลลี ไปแสดงอยู่ในสองสถานที่ แต่ไม่แน่ใจว่าทางเอเยนซีเขาจะยอมหรือไม่ ซึ่งตัวผมเองอยากให้ลิซ่า ไปร่วมกิจกรรมเคาต์ดาวน์ที่ภูเก็ต ส่วนอันเดรอา โบเชลลี ก็อยากให้เคาต์ดาวน์ที่กรุงเทพมหานครได้หรือไม่ เพราะกลุ่มผู้ฟังจะเป็นคนละกลุ่มกัน เราก็อยากเชิญเขามา ถ้าดีที่สุดสำหรับความคิดส่วนตัวของผม ก็อยากใช้สนามหลวงเป็นที่เปิดเวทีเลย โดยใช้ฉากหลังคือวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะอลังการ แล้วเราทำแสงสีเสียงให้สวยงาม เพราะกรุงเทพมหานครตอนนั้นเปิดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว
...มันจะเหมือนกับฟื้นฟูประเทศให้มีชีวิตชีวากลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะถ้าทุกอย่างไปกระจุกอยู่ที่ภูเก็ตหมด ผมกลัวว่าภูเก็ตเองจะรับไม่ไหว อยากให้แชร์ไปที่จังหวัดอื่นบ้าง แม้กระทั่งจริงๆ แล้ว ผมเองก็ยังมีความคิดและจะนำไปบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า จะขอไปเปิดที่เชียงใหม่ได้หรือไม่ หรือในจังหวัดทางภาคอีสานที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง เช่น อุดรธานี อุบลราชธานี หรือบุรีรัมย์ เพราะหากว่าสามารถเคาต์ดาวน์ได้ ก็ควรจัดให้ครบทุกภาค
...อย่างตัวผมเอง ผมเป็นคนหาดใหญ่ ผมก็อยากจะขอไปจัดที่หาดใหญ่บ้างได้หรือไม่ เพราะถึงตอนนั้นผมเชื่อว่าคนมาเลเซียจะสามารถเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยได้แล้ว เราก็หวังว่าวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ซึ่งจากนี้ไปจะมีการเจรจากันก่อนว่า จากนี้ไปให้มีการเดินทางข้ามระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซียได้แล้ว เพราะถึงเวลานั้นเชื่อว่าจังหวัดสงขลาฉีดวัคซีนแล้วเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศมาเลเซียฉีดเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้มีการเปิดพรมแดนเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งสองประเทศ สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่ามันจะทำให้ประเทศเราคืนสู่สภาพเดิม คืนความเป็นชีวิตที่สดใส ซึ่งจริงๆ ผมว่าไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ทั้งโลกก็มีความคิดเดียวกัน
เมื่อถามย้ำอีกรอบว่า จนถึงขณะนี้ยืนยันว่าลิซ่ามาเคาต์ดาวน์ที่ประเทศไทยแน่นอนแล้วใช่หรือไม่ พิพัฒน์-รมว.การท่องเที่ยวฯ ตอบเสียงหนักแน่นว่า "แน่นอนครับ ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ถูกปฏิเสธ เพราะเท่าที่ติดต่อตั้งแต่เมื่อ 14 ตุลาคม จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม ยังยืนยันอยู่ว่าเขามาชัวร์" โดยเขา (ลิซ่า) จะมาลงที่ภูเก็ต โดยอาจจะมาลงคู่กันกับ อันเดรอา โบเชลลี แต่ผมกำลังบอกว่าขอได้ไหม ขอแยกคุณทั้งสองคน ขอให้ไปจัดคนละที่
-อันเดรอา โบเชลลี ก็คอนเฟิร์มจะมาด้วยเช่นกัน?
ถ้ามา เขาจะมาคู่กับลิซ่า แต่ถ้าไม่มาก็คือไม่มาเลย เขาแพ็กกัน อันนี้คือเอเยนซีแจ้งมา โดยเอเยนซีแจ้งมาล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 ตุลาคมว่าโอเค เขามาและมาแบบแพ็กคู่ ผมก็กำลังขอเจรจาว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะแยกสถานที่ เราต้องการให้คุณทั้งสองคนไปจัดกันคนละสถานที่ เราต้องการสร้างให้เกิดความคึกคัก ให้มันเกิดขึ้นมาใหม่ในปีใหม่ 2565 นี้ให้ได้
-มีเสียงวิจารณ์เยอะเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่าย ในการจ้างทั้งสองคนมาแสดงคอนเสิร์ตเคาต์ดาวน์ที่เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท?
สำหรับตัวผมอาจคิดไม่เหมือนคนอื่น วิธีคิดของผมก็คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นเพียงตัวเลขหนึ่ง แต่ถ้าเป็นตัวเลขเชิงนโยบาย เชิงความเชื่อถือ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งประเมินค่าไม่ได้
ผมยกตัวอย่าง อย่างนักร้องลิซ่า แบล็กพิงก์ เขาเป็นเยาวชน เป็นไอดอลของเยาวชน เมื่อเขาเปิดการแสดงแล้วเขาพูดสักคำว่า เยาวชนคนไทย เรามีดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว พยายามหาจุดลงตัวที่สุดของตัวเองแล้วเอามาใช้ โดยสำคัญที่สุดขอให้ ลด-ละ-เลิก ยาเสพติด ถ้าตรงนั้น ผมถามว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจ ถ้าเราจะจ้างเขามาสัก 100-200 ล้านบาท มูลค่า 100-200 ล้านบาท สำหรับเยาวชนเราที่ไม่เสพยาเสพติด มันประเมินค่าไม่ได้เลย
ส่วน อันเดรอา โบเชลลี ที่เป็นศิลปินที่พิการทางสายตา ผมก็อยากจะนำเขามาเป็นต้นแบบให้กับคนที่ด้อยโอกาสทางสังคม ก็จะบอกประกาศให้คนทั้งประเทศไทยรู้ว่า นักร้องระดับโลกแม้เขาจะพิการทางสายตา แต่เขายังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองดังระดับโลกได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นคนไทยที่มีปัญหาเรื่องของสุขภาพ เรื่องทางร่างกาย ทำไมพวกเราไม่เอาแรงบันดาลใจตรงนั้นมาสร้างความฮึกเหิมแล้วทำให้ได้อย่างเขา
...เพราะฉะนั้นเช่นกัน การที่คุณจะจ่ายเงินไปหนึ่งร้อยล้านหรือสองร้อยล้านบาท แต่ถ้าคุณสามารถสร้างแรงบันดาลใจ และฉุดให้คนที่อยู่ในอาการซึมเศร้าเพราะว่าเขาเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น เขาเกิดมาอวัยวะไม่ครบ 32 ถ้าเราสามารถสร้างและฉุดกระชากตรงนี้ออกมาได้ เราอาจเจอไข่มุกแบบลิซ่าอีกก็ได้ ซึ่งเราก็เห็นอยู่ตามถนนหนทาง ตามร้านอาหาร ว่านักร้องที่สายตาพิการเดินร้องเพลงแล้วก็มีคนหยอดเงินให้กับเขา ซึ่งบางคนร้องเพลงดีมากๆ ทำไมเราไม่จุดประกายให้กับคนเหล่านี้ได้ต่อสู้ให้ลุกขึ้นมาสู้ และออกมาสร้างชื่อเสียง โดยให้เอเยนซีหรือบริษัทต่างๆ ดันเขาให้ถึงจุดสุดยอดให้ได้ แล้วเราอาจได้อะไรดีๆ จากพวกเขาก็ได้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่มีมูลค่าซึ่งผมคิดว่าประเมินค่าไม่ได้
เพราะฉะนั้นผมไม่สนว่า ผมจะจ่ายเงินสองคนรวมกันแล้วสักร้อยสองร้อยสามร้อยล้านก็แล้วแต่ มีสื่อถามผมว่า จ่ายไปมันจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ ผมบอกคุ้มหรือไม่คุ้ม ผมไม่ได้สนใจ แต่ผมคิดว่ามันเป็นความคุ้มค่าทางจิตใจสำหรับคนสายตาพิการ และในการปลุกกระแสเยาวชนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณไปกับการแก้ปัญหายาเสพติดไปปีละเท่าไหร่ และที่ผ่านมาแต่ละปียาเสพติดที่ลักลอบเข้ามาขายในประเทศไทย และกอบโกยเงินไปจากประเทศไทยปีละเป็นหมื่นๆ ล้านบาท เงินร้อยสองร้อยล้านบาทอย่าไปสนใจมันเลย ถ้าเราสามารถนำเขามาเป็นต้นแบบ แล้วทำให้เยาวชนเราลดละเลิกเรื่องยาเสพติดได้ นี้คือวิธีคิดของผม ผมไม่สนว่าใครจะคอมเมนต์อย่างไร ให้ผมไปเปิดเวทีแถลงข่าวเรื่องนี้ ผมก็จะพูดแบบที่ให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ว่าสิ่งที่ผมคิดคือแบบนี้ ผมกล้าลงทุนเพราะแบบนี้ ทำไมล่ะ เรามีโอกาสแล้ว เยาวชนของเราดังระดับโลกแบบนี้ แต่คนจะดรามายังไงก็เรื่องของเขา.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |