นวัตกรรมปฏิวัติธุรกิจ


เพิ่มเพื่อน    

ในยุคที่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง และเริ่มก้าวไปบนเส้นทางการปฏิรูปสู่ดิจิทัล หลายๆ กลุ่มธุรกิจจำเป็นจะต้องศึกษาและก้าวให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ และหนึ่งในสิ่งที่เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยเหลือให้การทำงานนั้นง่ายมากยิ่งขึ้นในยุคนี้คือ การใช้งาน “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” ที่มีบทบาทสนับสนุนการทำงานเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจมากขึ้น แต่การพัฒนาก็ไม่ใช่ว่าจะหยุดอยู่แค่การใช้คลาวด์ เพราะปัจจุบันมีตัวช่วยใหม่ที่จะมาเติมประสิทธิภาพของคลาวด์ ได้แก่ “เอดจ์ คอมพิวติ้ง (Edge Computing)”
    ที่จะมาช่วยลดโหลดการทำงานบนคลาวด์ โดยให้อุปกรณ์ปลายทางสามารถจัดการตัวเองได้ และบริษัทหรือภาคธุรกิจในปัจจุบันก็พบว่าต้องการเทคโนโลยีเอดจ์คอมพิวติ้งเข้ามาช่วยทำงานอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในการนำเอดจ์คอมพิวติ้งมาใช้ควรคำนึงถึงเป้าหมายปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการผสานการทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ระหว่างเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติงาน (OT) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และเป็นเอดจ์คอมพิวติ้งที่ทำงานได้แบบอัตโนมัติแห่งยุคอุตสาหกรรม 4.0
    ซึ่งเอดจ์คอมพิวติ้งที่ทำงานได้แบบอัตโนมัติก็จะคล้ายกับยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่เมื่อ IT และ OT ผสานรวมการทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ ก็จะช่วยให้ระบบงานจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ทั้งบริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง และแก้ปัญหาได้เอง ซึ่งในแง่ของอุตสาหกรรมนับว่าเรายังห่างไกลจากความสำเร็จในจุดนี้อยู่หลายปี แต่มันคือทิศทางของอุตสาหกรรมและควรมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น
    โดยเอดจ์คอมพิวติ้งจะแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ เอดจ์ 1.0 และ 2.0 คือความก้าวหน้าและการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเอดจ์คอมพิวติ้งมาใช้ ในปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่อยู่ในขั้นแรก คือ เอดจ์ 1.0 ซึ่งความสามารถพื้นฐานต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินธุรกิจได้ประสบความสำเร็จ ส่วนขั้นสุดท้ายคือ เอดจ์ 4.0 นั้น เป็นเรื่องของการที่ระบบสามารถทำงานด้วยตัวเองได้อย่างแท้จริง
    โดยในขั้น 3.0 สิ่งต่างๆ เริ่มจะดูน่าสนใจจริงๆ จุดนี้จะเป็นจุดที่เราเห็นการผสานรวมการทำงานร่วมกันระหว่าง IT/OT ที่มาพร้อมความยืดหยุ่นและความสามารถในการทำงานแบบเรียลไทม์ ขณะที่เอดจ์ 4.0 ซึ่งระบบโครงสร้าง IT และ OT จะถูกผสานรวมเข้ากับ AI ณ จุดนี้เราจะได้เห็นสภาพแวดล้อมด้านอุตสาหกรรมในระบบอัตโนมัติ ที่มีการบริหารจัดการด้วยตัวเอง แก้ไขปัญหาได้เอง เมื่อเครื่องจักรเริ่มมีปัญหา ระบบ AI จะวิเคราะห์และทำการแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องใช้คนเข้ามาจัดการ
    นายแอบเบย์ แอนิล โกสานการ์ รองประธานกลุ่ม Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า มันอาจจะใช้เวลาอีก 10 ปีหรือนานกว่านั้น กว่าที่เราจะได้เห็นวิสัยทัศน์เกิดขึ้นจริง เพราะปัจจุบันยังมีสภาพแวดล้อมด้านอุตสาหกรรมมากมายที่ไอทียังไปไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ในโรงงาน เรามีระบบควบคุมสำหรับเครื่องจักรเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถกำหนดพฤติกรรมและความปลอดภัยได้ ซึ่งระบบควบคุมเหล่านี้เกิดมาจากโลกเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติงาน ไม่ได้มาจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ นั่นคือจุดเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลง
    เนื่องจากเห็นว่ามีการย้ายเทคโนโลยีที่ใช้ดาต้าเซ็นเตอร์มาใช้กับเอดจ์สำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าประมาณปี 2025 เราน่าจะได้เห็นว่ามีการนำแนวคิดอย่างเวอร์ชวลไลเซชั่นมาประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม เพื่อให้มีความสามารถเรื่องระบบเรียลไทม์ในระดับของเครื่องจักร ทั้งเรื่องความปลอดภัย ระบบควบคุม และฟังก์ชันการดำเนินงานแบบดั้งเดิมอื่นๆ
    แต่มั่นใจหากเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าขึ้นมา สภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากความสามารถของระบบต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความยืดหยุ่น การรองรับความผิดพลาด อันเป็นฟีเจอร์ที่มีอยู่ในโลกไอทีนานแล้ว ซึ่งการเดินทางสู่การปฏิรูปดิจิทัลของเอดจ์จะสร้างผลลัพธ์ปลายทางก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเป็นการนำพาความทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ได้ดี ถือว่าเป็นการปฏิวัติภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจไปสู่อนาคตนั่นเอง.

ณัฐวัฒน์ หาญกล้า


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"