หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ประกาศเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าไทยโดยไม่ต้องกักตัวสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดส และเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่เรากำหนดว่าเป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ อย่างน้อย 10 ประเทศ ในเบื้องต้นคือ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา และจะทยอยเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้น โดยจะพิจารณาปัจจัยหลักจากจำนวนผู้ติดเชื้อของแต่ละประเทศ
การตัดสินใจดังกล่าว “บิ๊กตู่” เองยอมรับว่า มีความเสี่ยง แต่ต้องทำเพื่อไม่ให้ไทยเสียโอกาสที่เป็นช่วงเวลาทองในเทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ ที่จะดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ให้ประชาชนนับล้านๆ คนได้ทำมาหากินอีกครั้ง ทั้งภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจอื่นๆ
ทั้งนี้ การตัดสินใจประกาศเปิดประเทศถือว่าเป็นไปตามห้วงเวลา 120 วัน ที่ “บิ๊กตู่” เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา
ซึ่งขณะนั้นทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ทีมแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ประเมินไว้แล้วว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์โควิดไว้ได้ บวกกับแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจะเดินได้ตามเป้า
ปัจจุบันสถานการณ์เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้
โดยยอดผู้ติดเชื้อจากหลัก 20,000 รายต่อวัน ขณะนี้สามารถกดตัวเลขลงได้ มีบางวันต่ำกว่าหมื่นราย ขณะที่แนวโน้มผู้เสียชีวิตลดลงเหลือหลักสิบ ยอดผู้รักษาหายป่วยเพิ่มมากขึ้น บางวันมากกว่ายอดผู้ติดเชื้อ รวมถึงผู้ป่วยอาการหนักปอดอักเสบและใส่เครื่องช่วยหายใจก็ลดลงอีกด้วย
ขณะเดียวกันแผนการจัดหาวัคซีนไปจนถึงสิ้นปีจะได้ถึง 170 ล้านโดส ซึ่งเกินเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ บวกกับยอดการฉีดวัคซีนโดยรวมให้ประชาชนขณะนี้ได้มากกว่า 61 ล้านโดสแล้ว และสามารถดันยอดฉีดเพิ่มขึ้นได้ถึง 3 เท่า และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงขั้นประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก
โดยขณะนี้เราฉีดได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และในบางวันเราฉีดได้มากกว่านั้น คือเกินกว่า 1 ล้านโดสด้วย
ขณะที่ยารักษาโควิดมีสำรองในคลังอย่างเพียงพอ สามารถนำเข้าและมีกำลังการผลิตในประเทศมากขึ้น รวมถึงชุดตรวจหาเชื้อโควิด หรือ Antigen test kit (ATK) สามารถหาซื้อได้ง่าย และจะเริ่มวางจำหน่ายในราคาถูกเพียง 40 บาท ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง จึงเป็นห้วงเวลาที่ “บิ๊กตู่” มองว่าเหมาะสมที่สุดแล้วในการเปิดประเทศ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยว
หลังจากที่ตัวเลขการท่องเที่ยวช่วงก่อนสถานการณ์โควิดคิดเป็น 11% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่เมื่อเจอวิกฤตโควิดวันนี้เหลือแค่เพียงเปอร์เซ็นต์กว่าๆ เท่านั้น
จึงคาดว่าการเปิดประเทศในช่วงปีใหม่นี้ จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย และสามารถดันจีดีพีของไทยให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
พร้อมกันนี้ยังเตรียมพิจารณามาตรการผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมเพิ่มเติม เพื่อรองรับเปิดการท่องเที่ยว เช่น การพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ เตรียมปรับจังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม จะลดลง รวมถึงจะพิจารณาเปิดศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ และสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมได้
และเล็งขยับเวลาเคอร์ฟิวจากเดิม 22.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เป็น 23.00-03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ไปอีก 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-31 ตุลาคม 2564
อย่างไรก็ดี การเปิดประเทศรอบนี้ถือเป็นเดิมพันที่พิสูจน์การทำงานของ “รัฐบาลบิ๊กตู่”
ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด!!!!
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ที่หวั่นว่ายอดผู้ติดเชื้อจะพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งและไม่สามารถควบคุมได้
นั่นอาจส่งผลให้ไทยต้องกลับมาใช้มาตรการเข้ม “ล็อกดาวน์” และ “ปิดประเทศ” อีกครั้ง นี่จึงเป็นเดิมพันครั้งสำคัญที่รัฐบาลประยุทธ์ต้องเสี่ยง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |