โยโกฮามา – ฮาโกดาเตะ


เพิ่มเพื่อน    

มองย่านมินาโตะ-มิราอิ จากท่าเรือโซโนฮานะ เมืองโยโกฮามา จังหวัดคานากาวะ

รถไฟจากเมืองคามากุระเข้าเมืองโยโกฮามาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ผมต้องนั่งต่อจากสถานีโยโกฮามาไปอีกนิดเพื่อจะเดินไปที่พักง่ายๆ ลงที่สถานีอิชิคาวาโจแล้วเดินลอดประตูจีนที่ตั้งอยู่ตรงทางออกฝั่งทิศเหนือ บ่งบอกว่านี่คืออาณาบริเวณของย่านไชน่าทาวน์ที่เลื่องลือของโยโกฮามา และผมก็มุ่งหมายว่าจะเข้าไปหามื้อค่ำกินในนั้น

หลังจากเข้าเช็กอินที่ Yokohama Central Hostel ซึ่งตั้งอยู่ติดกับสนามเบสบอลของสโมสร Yokohama DeNa BayStars ท้องร้องอย่างรุนแรงจึงแวะกินข้าวหน้าปลาย่างที่ร้าน Sukiya ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นร้านที่ใกล้ที่สุด สะดวกรวดเร็วและรสชาติก็ไม่เลวร้าย กินตอนกำลังหิวคงดีกว่ารอกินของอร่อยแต่ปล่อยให้ท้องร้อง และโรคกระเพาะเข้าคุกคามในที่สุด

ผมดูแผนที่ที่หยิบมาจากโฮสเทล เห็นว่าท่าเรือตั้งอยู่ใกล้ๆ จึงเดินฝ่าลมออกไป ใช่แล้ว ลมทะเล!

เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึงท่าเรือเล็กๆ ชื่อ “โซโนฮานะ” มองออกไปทางซ้ายมือเห็นสัญลักษณ์สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่และสีสันยามค่ำคืนของย่านมินาโตะ-มิราอิ 21 หรืออาจเรียกว่า “มินาโตะ-มิราอิ” เฉยๆ เขตเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญของเมือง แต่ตัดสินใจที่จะไม่เดินไปหาเพราะลมแรงจนรู้สึกหนาว ทำได้แค่เดินตรงไป และถือว่าโชคดีและคุ้มค่าที่ได้แวะมาแม้ไม่ได้ตั้งใจ เพราะนี่คือท่าเรือ “โอซัมบาชิ” ท่าเรือนานาชาติในชื่อทางการว่า Yokohama International Passenger Terminal เป็นสถานีเรือโดยสารขนาดใหญ่ ดูทันสมัยและสวยงาม จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนโดยไม่ต้องขึ้นเรือ

ท่าเรือโอซัมบาชิดั้งเดิมสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1889 เป็นท่าเรือที่เก่าแก่สุดในโยโกฮามา สร้างขึ้นจากผลพวงของสนธิสัญญา 2 ฉบับในปี ค.ศ. 1859 ที่โชกุลตระกูลโตกุกาวะจำใจลงนามกับมหาอำนาจบาตรใหญ่ในขณะนั้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์ และรัสเซีย ส่วนท่าเรือใหม่นั้นมีการประกวดการออกแบบ ก่อสร้าง และเปิดใช้เมื่อปี ค.ศ. 2002

ท่าเรือโซโนฮานะ และแสงสีจากย่านมินาโตะ-มิราอิ

วันนี้ที่ท่าโอซัมบาชิมีเรือสำราญชื่อ Celebrity Millennium ขนาดความยาว 294 เมตรจอดเทียบอยู่ทางด้านซ้ายมือ ผมมองเข้าไปในห้องอาหารภายในตัวเรือ แขก (ลูกค้า) กำลังดินเนอร์กันอยู่ ส่วนมากเป็นวัยกลางคนถึงผู้อาวุโส ก็ให้คิดว่าเทียบท่าทั้งทียังต้องกินในเรือ แต่เท่าที่ทราบ อาหารในเรือสำราญนั้นคุณภาพไม่เป็นสองรองใคร และที่สำคัญคือคิดราคารวมไปแล้วในค่าตั๋ว ส่วนการเที่ยวบนฝั่งนั้นทางผู้ให้บริการจะปล่อยขึ้นไปในช่วงกลางวัน

ผมเดินไปบนดาดฟ้าของท่าเรือจนถึงส่วนหัวของเรือสำราญ มองกลับไปยังฝั่ง แสงสว่างทางด้านหลังเยื้องไปทางขวาของตัวเรือคือภาพของย่านมินาโตะ-มิราอิที่ให้มุมมองต่างไปจากเดิมอีกนิด มีอาคารและสิ่งก่อสร้างเรียงจากซ้ายไปขวา ได้แก่ Yokohama Landmark Tower ตึกที่เคยสูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูง 296เมตร (ปัจจุบันถูกแซงไป 4 เมตรโดยตึก Abeno Harukas ในโอซาก้า), กระเช้าลอยฟ้า Cosmo Clock 21 ความสูง 112.5 เมตร ของสวนสนุก Yokohama Cosmoworld ด้านหลังของกระเช้าลอยฟ้าคืออาคารของศูนย์การค้า Queen’s Square เรียงกัน 3 หลัง และด้านขวาสุดคือโรงแรม Yokohama Grand Intercontinental รูปทรงเว้าโค้งแปลกตา

และพอหันหลังไปมองอีกทางก็เห็นสะพาน Yokohama Bay Bridgeความยาว 860 เมตร ส่องสว่างนำทางยานยนต์ที่ข้ามอ่าวโตเกียว เชื่อมระหว่างฝั่งท่าเรือ Honmoku และเกาะเทียม Daikoku ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางด่วนสายBayshore Route ที่วิ่งผ่านโตเกียวไปยังจังหวัดชิบะ

ผมยืนถ่ายรูปอยู่จนแบตเตอรีกล้องหมดก็ยังอ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่จนได้ยินเสียงประกาศดังผ่านลำโพงได้ความว่าท่าเรือกำลังจะปิด จึงเดินกลับที่พัก แล้วเข้านอนเร็วกว่าปกติ ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ

วันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าเพราะต้องเดินทางไกลไปยังเมืองฮาโกดาเตะ บนเกาะฮ็อกไกโด โดยไม่สนอาหารเช้าที่ให้บริการฟรี นั่งรถไฟเข้าโตเกียวที่สถานีอุเอโนะ ชุมทางสำคัญที่รถไฟชิงกันเซ็นจอด แต่ปรากฏว่าชิงกันเซ็นเที่ยว 10.26 น. ไม่มีที่ว่าง เนื่องจากผมไม่ได้จองล่วงหน้า จึงบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าขอจองเที่ยวถัดไป คือเวลา 12.26 น. แล้วออกไปกินอาหารเช้าและกาแฟที่ร้านนอกสถานี จากนั้นเข้าไปเดินเล่นสูดอากาศในสวนอุเอโนะ ก่อนกลับเข้าสถานี แวะซื้อ “เอคิเบน” หรือข้าวกล่องสถานีรถไฟเพื่อกินระหว่างทาง

รถไฟซิงกันเซ็นจอด 4 – 5 ครั้งเท่านั้น เพราะแถบนี้มีเมืองใหญ่ตั้งอยู่ไม่มาก เมื่อเทียบจอดที่สถานีชิน-ฮาโกดาเตะ ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายและเหนือสุดของรถไฟชิงกันเซ็นแล้ว ผมก็นั่งรถไฟธรรมดาของบริษัทเจอาร์ต่อไปยังสถานีฮาโกดาเตะ ถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ออกจากสถานีด้วยอาการงุนงงเล็กน้อยว่าจะไปทางไหนต่อ เดินตรงไปยังสี่แยกที่มีสถานีรถรางตั้งอยู่ เข้าไปถามสาวญี่ปุ่นคนหนึ่งถึงกติกาการใช้รถราง เธอก็ช่วยสอนอย่างเต็มใจ แต่ผมนั่งเลยไปหนึ่งป้ายทำให้คนขับบอกว่ายังไม่ต้องจ่ายเงิน ให้จ่ายกับคันที่จะขึ้นกลับไปยังป้ายที่ต้องการลง แต่ผมเห็นว่าเลยมาแค่ป้ายเดียวและฟ้าก็โพล้เพล้เต็มที จึงตัดสินใจเดิน เท่ากับว่าผมเบี้ยวค่าโดยสารเข้าให้แล้ว ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

อีกมุมมองของย่านมินาโตะ-มิราอิ ยามค่ำคืน​​​​​​​

ประตูอัตโนมัติของ Capsule Hotel Hakodate เปิดออก มีเปียโนหลังใหญ่วางอยู่หลังทางเข้า บนเคาน์เตอร์ต้อนรับมีธงชาติประเทศต่างๆ ตั้งประดับ เขาทำการบ้านมาก่อนว่าวันนี้จะมีแขกประเทศใดเข้าพักบ้างก็นำเอาธงชาติเหล่านั้นมาปักไว้ ซึ่งวันนี้มีธงชาติไทยด้วยทำให้ไทยน้อยแดนสยามประทับใจเป็นอย่างยิ่ง และพนักงานก็ใจดีอัพเกรดให้เป็นห้องแคปซูลขนาดใหญ่ เรียกว่าสุพีเรียร์แคปซูล มีพื้นที่วางกระเป๋า พร้อมโต๊ะเก้าอี้ และล็อกประตูได้ ส่วนห้องปกตินั้นจะมีแค่ห้องนอนเปล่าๆ และไม่สามารถล็อกประตูได้ ต้องเก็บของในล็อกเกอร์ ราคาต่างกันที่ประมาณ 1,500 บาท กับ 1,300 บาท

ผมเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ลงมาที่เคาน์เตอร์ต้อนรับเพื่อขอจองห้องพักต่อสำหรับวันพรุ่งนี้ พนักงานอายุประมาณ 40 ปี อาจจะเป็นผู้จัดการหรือหัวหน้างานประจำกะนั้น บุคลิกโดดเด่นใครเห็นก็จำได้เพราะฟันหลอ 2 ซี่ บอกว่าห้องเต็มแล้ว ผมจึงควักโทรศัพท์ออกมาขอใช้สัญญาณ Wi-fi เดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งในพื้นที่ส่วนกลางของห้องโถงกว้าง หาที่พักแห่งใหม่อยู่ได้สักพัก พี่ฟันหลอก็เดินเข้ามาแสดงสีหน้าเหมือนสงสาร อนุญาตให้ผมอยู่ต่อได้แต่ต้องจองโดยตรงกับโรงแรมและต้องจ่ายเงินทันที

แสดงว่าที่ผมพูดให้ฟังก่อนหน้านี้พี่แกไม่เข้าใจ เพราะผมก็จะจองโดยตรงอยู่แล้ว โรงแรมจะได้ไม่ต้องจ่ายให้กับเว็บไซต์รับจองในเรทอย่างน้อย 15เปอร์เซ็นต์ของราคาที่พัก แต่คราวนี้ผมต้องจ่ายในราคาห้องสุพีเรียร์ตามจริง และเนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ราคาก็ขึ้นไปอีกนิดตามจริตของทุนนิยม ซึ่งเป็นเหมือนกันหมดทุกที่

สายฝนโปรยปรายลงมาทำให้ความคิดที่จะไปดูวิวงามยามค่ำคืนที่เรียกกันว่า “วิวล้านดอลลาร์” (Million Dollar View) จากภูเขาฮาโกดาเตะ (Mt. Hakodate) เป็นอันต้องยกยอดไปวันพรุ่งนี้ แล้วขอให้พี่ฟันหลอแนะนำร้านอาหารใกล้ๆ แกหยิบแผนที่แจกฟรีของโรงแรมมาทำเครื่องหมายและแสดงเส้นทางเดินไปยังย่านที่เต็มไปด้วยร้านแบบอิซากายะ (Izakaya) หรือร้านเล็กๆ ตกแต่งง่ายๆ ขายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีลักษณะเป็นบาร์มากกว่าร้านอาหาร

ผมเดินไปตามคำแนะนำจนถึงถนนเส้นหลักของเมืองที่เหมือนพุ่งตรงออกมาจากสถานีรถไฟฮาโกดาเตะ ยังไม่ทันถึงย่านที่อุดมไปด้วยร้านอิซากายะก็เลี้ยวเข้าร้านชื่อ Grazie Grazie ชื่ออิตาเลียนแต่มีเมนูอาหารญี่ปุ่นวางอยู่ด้วย ซึ่งเป็นของอีกร้านแต่เจ้าของเดียวกัน ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน ปรุงเสร็จก็มีคนมาส่ง

สถานีรถไฟเจอาร์ “ฮาโกดาเตะ” เมืองฮาโกดาเตะ จังหวัดโอชิมะ เกาะฮ็อกไกโด​​​​​​​

มื้อค่ำเริ่มด้วยสลัดและเบียร์สดจากร้านนี้ ส่วนปลาย่างทั้งตัวและท้องปลาแซลม่อนมาจากอีกร้าน ผมนั่งบนโต๊ะเคาน์เตอร์บาร์ตามแบบฉบับของคนลุยเดี่ยว บาร์เทนเดอร์อัธยาศัยดี เขาพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ผมได้ยินคำว่า “ชนาธิป” ซึ่งก็คือ “เจ ชนาธิป สรงกระสิทธิ์” นักฟุตบอลทีมชาติไทยที่มาค้าแข้งอยู่กับสโมสร “คอนซาโดเลซัปโปโร” ที่เมืองซัปโปโร ห่างขึ้นไปทางเหนือประมาณ300 กิโลเมตร แสดงว่าเจ้าเจของเราดังไกลเหมือนกัน

สักพักมีชายคนหนึ่ง คะเนอายุจากใบหน้าได้ประมาณ 40 กลางๆ มานั่งข้างๆ ผม แนะนำตัวว่าเป็นเจ้าของร้าน หรือที่แกเรียกว่าเป็น “ท่านประธาน” แกเคยไปเมืองไทยหลายครั้ง ชอบอาหารไทยและนวดไทยเป็นพิเศษ แล้วเล่าประสบการณ์ในเมืองไทยให้บาร์เทนเดอร์หนุ่มฟังอย่างภาคภูมิใจ แต่ลึกๆ เหมือนต้องการแสดงให้ผมรู้ว่าแกชอบและรู้จักเมืองไทยพอสมควร

ชายอีกคน คะเนจากใบหน้า อายุประมาณ 50 กว่าๆ เดินเข้ามานั่งหน้าบาร์ทางฝั่งขวาของผม เจ้าของร้านแนะนำว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของแก ทำงานในบริษัทประกันภัย ผมนึกเล่นๆ ว่าอยากดูแก่ให้ทำงานออฟฟิศ อยากดูเด็กให้เปิดร้านอาหาร ครู่ต่อมาก็มีทหารหนุ่มนอกเครื่องแบบมานั่งหน้าบาร์อีกคน และผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในร้านอีกคนก็มาร่วมสนทนาด้วย เจ้าของร้านแนะนำว่าเป็นภรรยาของแก

เบียร์สด, ไฮบอลล์ และสาเก ทำให้ผมรู้สึกกรึ่มๆ จึงเรียกเก็บเงินและขอตัวกลับเพราะได้ตั้งกติกาให้ตัวเองไว้ว่าจะไม่ดื่มจนเมามายในต่างบ้านต่างเมือง แม้ว่าญี่ปุ่นจะสามารถเป็นข้อยกเว้นได้เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง แต่การรักษากติกาไว้ก็ย่อมดีกว่า

ก่อนหน้าที่จะมาญี่ปุ่นคราวนี้ผมได้เที่ยวในเกาหลีมาก่อนประมาณ 10 วัน ได้ซักผ้าที่บ้านเพื่อนในกรุงโซลไปแล้วรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองปูซานที่อยู่ทางใต้ของประเทศ แล้วบินจากปูซานมายังโอซาก้าเมื่อประมาณ 1สัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่ควรจะซักผ้าอีกรอบเพราะกระเป๋าจัดเสื้อผ้าไว้สำหรับใช้ประมาณ 7 วัน

เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของโรงแรมแคปซูลทำงานดีมาก ใช้เวลาไม่นานก็ปั่นจนแห้งเก็บพับวางบนโต๊ะได้ยังไม่ทันง่วงเกินไปที่จะอาบน้ำ ซึ่งห้องน้ำนั้นก็แยกห้องอาบน้ำ-ห้องล้างหน้าแปรงฟัน กับห้องถ่ายเบา-ถ่ายหนักออกไปคนละทิศ สะอาดและเป็นระเบียบดีมาก

ตื่นเช้าอีกวันฝนก็ยังโปรยปรายเหมือนเดิม ผมหยิบบะหมี่สำเร็จรูปในราคา 100 เยน (ทุกอย่าง 100 เยน ถูกกว่าร้านสะดวกซื้อ ส่วนชาแบบต่างๆ ดื่มฟรีจากเครื่องกดอัตโนมัติ) มาจากมุมอาหารของโรงแรม กดน้ำร้อนใส่แล้วไปนั่งกินที่ริมกระจกใส มองเห็นสถานีโทรทัศน์ NHK สาขาฮาโกดาเตะตั้งอยู่อีกฝั่งถนน หมดบะหมี่ก็ไปหยิบกาแฟราคา 100 เยน มากดน้ำร้อนใส่แล้วไปนั่งจิบที่เดิม

หมดกาแฟก็เดินไปขอจองและจ่ายเงินค่าที่พักล่วงหน้าสำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะคาดการณ์ได้ว่าวันนี้คงเที่ยวได้ไม่กี่ที่ เช่นเดียวกับเรื่องเล่าฉบับนี้ที่ยังพาท่านผู้อ่านไปไหนไม่ได้ไกล.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"