ว่าด้วย...การออกจากวัตถุนิยม (6)


เพิ่มเพื่อน    

(1)

        ถึงวันอาทิตย์...ก็ได้เวลากลับมา เทศน์ ต่อกันอีกซักตั้ง เผื่อว่าอาจพอช่วยๆ ให้ใครต่อใคร มีโอกาสหลุดๆ ออกจาก วัตถุนิยม ได้มั่ง แม้แค่คน-สองคนก็ยังดี แต่อย่างที่ว่าเอาไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ว่านอกเหนือไปจากการฟื้นฟู การหันไปหยิบเอาแนวคิดทางศาสนา ไม่ว่าพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่ล้วนแล้วแต่มี วัตถุนิยม เป็น ศัตรูร่วม ไปด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ไปหยิบเอา ความจริงทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ มาใช้เป็นเครื่องมือ ก็อาจช่วยๆ ได้บ้างเหมือนกัน...

(2)

        เพราะสำหรับเรื่อง ความรู้ทางจิต อันเป็นพื้นฐาน แนวทาง สำหรับแนวคิดทางศาสนานั้น...ไม่ว่าจะเป็นพุทธ-คริสต์-อิสลาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ระดับฆราวาสหรือปุถุชนคนธรรมดา อย่างอันตัวข้าพเจ้าเอง ออกจะหนักไปทางงูๆ-ปลาๆ สเน็กๆ-ฟิชๆ ไม่ได้รู้ลึก-รู้จริง แถมแทบไม่เคย ผ่านการปฏิบัติ มาซะอีกต่างหาก อย่างการ นั่งสมาธิ หรือ วิปัสสนา กระทำอานาปานสติแบบหายใจเข้า-หายใจออก เพื่อให้ จิต เกิดความหยั่งรู้กันในระดับไหนต่อระดับไหนก็แล้วแต่ ตามแบบตามสไตล์ชาวพุทธนั้น หนีไม่พ้นต้องสารภาพไว้ก่อนล่วงหน้าว่า...นั่งทีไร เหน็บชา รับประทานไปซะทุกที สูดลมหายใจได้แค่ไม่กี่ยก จิต ก็ดันสิ้นสติสมประดี หลับสนิท นิทรา ไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรกับเค้าบ้างเลย...

(3)

        ด้วยเหตุนี้...จะไปเอาความรู้ทางจิตในลักษณะนี้ มาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อดึงใครต่อใครออกมาจาก วัตถุนิยม มันคงลำบาก ดีไม่ดี...กลับกลายเป็นการผลักให้ยิ่งวัตถุนิยมหนักขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น...จึงต้องขออนุญาตเลี่ยงบาลี หันไปเอา ความจริงทางวิทยาศาสตร์ นั่นแหละ มาใช้เป็นเครื่องมือ หรือมาใช้เป็น หนามบ่งหนาม กันแทนที่ คือแม้ว่าไอ้ ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ ที่พวกกษัตริย์ พ่อค้า ปัญญาชน พวกนักวิทยาศาสตร์ในยุโรป เขาจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการ กวาดล้างความเชื่อดั้งเดิม ของชาวยุโรปและชาวโลก ไม่ให้หวนกลับคืนมาได้อีก หรือใช้ในการขจัดอำนาจ อิทธิพล ของพวก พระ แห่งศาสนจักรคาทอลิก จนหายเกลี้ยงไปเป็นแถบๆ แต่ด้วยเหตุที่มันเป็นเพียงแค่ ความเชื่อ ไม่ใช่ความจริงแท้ แน่นอน หรือเป็นเพียงแค่ ทฤษฎี ที่ต้องหาทางพิสูจน์กันอีกมากมาย เยอะแยะ แม้แต่ ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ก็ตามแต่ มันเลยมักส่งผลให้เกิด ความขัดแย้ง กับอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ล้วนแต่มีสิ่งที่เรียกว่า จิต แฝงฝังอยู่ในวัตถุ สสาร ซึ่งก่อรูป ก่อร่างขึ้นมาเป็นร่างกาย ไม่ได้เป็นแค่ เครื่องจักร ที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปตามกระแสพลังงาน หรือโปรแกรมที่ถูกกำหนดไว้ให้...

(4)

        การอาศัย ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ ไปทำลาย ความรู้ทางจิต ในศาสนาแต่ละศาสนา การแยกรัฐออกจากศาสนาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้จะนำมาซึ่ง ความเจริญทางวัตถุ นำมาซึ่งความก้าวหน้า ทันสมัย ทางเทคโนโลยี ชนิดสามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้สบายๆ แต่สุดท้าย...เมื่อกลับจากดวงจันทร์ จากอวกาศ จากส่วนลึกในมหาสมุทร จากส่วนสูงสุดของฟากฟ้าใดๆ ก็แล้วแต่ มันก็ยังคงต้อง ทุกข์ อยู่อีกเช่นเดิมนั่นแหละ ยิ่งเป็นพวกฝรั่งที่เป็นผู้ริเริ่มชักชวน ชี้แนะ ให้ใครต่อใครให้เดินไปในแนวนี้ตั้งแต่แรก ก็มีแต่จะยิ่งทุกข์แบบหนักหนา สาหัส ยิ่งขึ้นไปใหญ่ อย่างที่นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน ชื่อว่านาย อีริก ฟรอมม์ (Erich Fromm) แกเคยเขียนบรรยายเอาไว้ในหนังสือเรื่อง จิตวิเคราะห์กับพุทธศาสนานิกายเซน นั่นแหละว่า...คนในสังคมตะวันตก มักตกอยู่ในภาวะไม่ต่างอะไรไปจากคนเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตเสื่อม (schizoid) เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเสพ สัมผัส กับสิ่งที่เป็นอารมณ์ ความรู้สึก ได้อย่างเท่าที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้...จึงทำให้เขามักจะมีความวิตก กังวล กลัดกลุ้ม ท้อแท้ สิ้นหวัง แม้ปากของเขาจะพูดถึงเรื่องความสุข ความเป็นปัจเจกนิยม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่จริงๆ แล้ว เขากลับไม่ได้...เข้าถึง...สิ่งต่างๆ ที่เขาพูดออกมาแต่อย่างใด ลองถามเขาเถอะ...ว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อะไรคือจุดมุ่งหมายแห่งความเพียรพยายามในชีวิตของตัวเขาเอง แล้วเราจะพบว่า...ส่วนใหญ่มักมีอาการกระอักกระอ่วนใจ บางคนอาจบอกว่า เขามีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัว บางคนบอกว่าเพื่อแสวงหา เพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลิน บางคนถึงขั้นบอกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อเงินก็ยังมี แต่อันที่จริงแล้ว...ไม่มีใครซักราย สามารถให้คำตอบได้ชัดเจน ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะต่างไม่ได้มีเป้าหมายอะไรทั้งสิ้น นอกเสียจากความพยายามที่จะดิ้นรนหลบหนีไปจากความโดดเดี่ยว และความไม่ปลอดภัยต่างๆ เท่านั้นเอง...

(5)

        ภายใต้สภาพ หรือสภาวะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ นักวิทยาศาสตร์แท้ๆ ระดับที่เรียกได้ว่า ถือเป็นอภิมหานักวิทยาศาสตร์ หรือโคตรวิทยาศาสตร์เอาเลยก็ยังได้ มีตำแหน่งเป็นถึงท่าน เซอร์ หรือ อัศวิน ในราชสมาคมวิทยาศาสตร์อังกฤษ เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เกิดหันมาให้ความสนใจที่จะอาศัยสิ่ง วิทยาศาสตร์ นี่แหละ ไปค้นหา ความจริง ในเรื่อง จิต หรือ วิญญาณ ให้มันชัดๆ จะจะ แทนที่จะเอามาใช้ค้นหาความจริงทางวัตถุ สสาร ล้วนๆ แต่เพียงเท่านั้น หรือถึงขั้นได้ออกมาป่าวประกาศเอาไว้เมื่อประมาณปี ค.ศ.1870 โน่นเลยว่า เป็นภาระหน้าที่ของวิทยาศาสตร์ ที่จะต้องพยายามศึกษา ค้นคว้า เพื่อให้คำตอบ คำอธิบายต่อเรื่องราวที่อยู่นอกเหนือปรากกฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเรื่องของจิตและวิญญาณ อย่างจริงๆ จังๆ ส่วนจะก่อให้เกิดอะไรตามมาบ้างนั้น...อันนี้ คงต้องรอไปเทศน์ต่อในช่วงอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน....

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"