FUTUROLOGY  จีนสวนกลับเกมสงครามเย็นสหรัฐ 


เพิ่มเพื่อน    

รัฐบาลสหรัฐอเมริกามองจีนเป็นคู่แข่งสำคัญ จึงสกัดจีนทุกทางโดยใช้ “Soft Power” ในรูปแบบ “สงครามเย็น” ผ่านวัฒนธรรม การศึกษา การทูต
ล่าสุดสงครามเย็นที่ต่างมุ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองระดับโลกระหว่างสหรัฐอเมริกาผู้นำแห่งโลกทุนนิยม กับจีนผู้นำแห่งโลกสังคมนิยมกำลังเดือด ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก จีนสวนกลับสหรัฐทันที โดยปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน (เมื่อ 24 ก.ค.2564) หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสั่งปิดสถานกงสุลจีน ที่เมืองฮุสตัน มลรัฐเทกซัส สหรัฐ
ในปี 2030 เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่ลำดับที่ 1 ของโลกแซงหน้าสหรัฐ ย่อมสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อรัฐบาลสหรัฐเป็นอย่างมาก คาดว่าการเสียดทานจากเกมสงครามเย็นที่สหรัฐมีต่อจีนยังจะตามมาอีกหลายระลอก    Power Play ระหว่างสองมหาอำนาจ สหรัฐกับจีนจะเล่นเกมอำนาจ จีนสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดสงครามใหญ่รุกทางการทหารในอนาคตภายในศตวรรษนี้หรือไม่ โดยเฉพาะจะมีผลต่อการพลิกเปลี่ยนทุนนิยมโลกาภิวัตน์อย่างไร ล้วนเป็นเรื่องที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจใคร่ติดตาม ผมขออาศัยศาสตร์อนาคตวิทยา (FUTUROLOGY) และแนวคิดภูเขาไฟสังคม (SOCIAL VOLCANOES) ของนักเศรษฐศาสตร์ ศาสตราจารย์ ดร.Lester Thurow   แห่ง MIT (Massachusetts Institute of Technology) มาเป็นกรอบการวิเคราะห์แลโลกอนาคตในข้อเขียนครั้งนี้
อนาคตวิทยา (FUTUROLOGY) คือการศึกษาหรือการพยากรณ์พัฒนาการความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ในสังคมมนุษย์กับสรรพสิ่งในฐานะศาสตร์กับสังคมที่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขปัจจุบันและแนวโน้มอนาคต (Newsweek, 16-23 September 2002)
การศึกษาว่าด้วยอนาคต (Future Studies) เป็นงานวิจัยที่ชี้ถึงเรื่องราวอนาคต โดยการศึกษาอย่างเป็นระบบในลักษณะสหวิทยาการอย่างที่เป็นแบบองค์รวม (Holistic Study) ถึงเรื่องต่างๆ ทางสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตลอดจนแนวโน้มในเรื่องสิ่งแวดล้อม  ซึ่งบ่อยครั้งมีจุดประสงค์เพื่อสำรวจว่าผู้คนมีชีวิตอยู่และทำงานอย่างไรในโลกอนาคต (Wikipedia)
วันชาติจีน 1 ตุลาคม 2021 ที่เพิ่งผ่านมานี้ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย “นายหาน จื้อเฉียง” แถลงชี้เกมวิธีคิดการทำสงครามเย็นของมหาอำนาจเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ทูตจีนไม่ได้ระบุชื่อประเทศก็พอเข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอันตราย
เอพีรายงานว่า แถลงการณ์สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ในวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ผู้อำนวยการสำนักงาน CIA วิลเลียม เบิร์น ประกาศตั้งกลุ่มทำงานระดับสูง มีเป้าหมายไปที่จีนโดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ต้องการขวางการเพิ่มอิทธิพลของปักกิ่ง ในแถลงการณ์ของเขาเรียกรัฐบาลปักกิ่งว่า “ภัยคุกคามทางภูมิศาสตร์การเมืองที่สำคัญมากที่สุดเท่าที่เราเคยประสบในศตวรรษที่ 21” รัฐบาลโจ ไบเดน จัดหนักจ้องเล่นงานจีน จึงได้ออกมาชี้ถึงการแสดงความก้าวร้าวของรัฐบาลจีนทางด้านความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันพยายามหาความร่วมมือในผลประโยชน์ร่วมในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและปัญหาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ (ผู้จัดการออนไลน์เผยแพร่ 7 ต.ค.2564)
ในอดีตที่ผ่านมา หนังสือแนว FUTUROLOGY  ได้เคยเขียนคำทำนาย อนาคตทุนนิยมโลก ไว้ล่วงหน้าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันวันนี้หลายอย่างก็ได้เกิดขึ้นจริงตามคำทำนาย ที่ชี้ถึงแนวโน้มวันข้างหน้า ทุนนิยมโลกยิ่งจะเลวร้ายลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องภูมิอากาศโลกร้อนหายนะมนุษยชาติ  
เมื่อไม่นานมานี้ในหนังสือที่น่าสนใจเล่มหนึ่งชื่อ “The Future of Capitalism : How Today’s Economic Forces Shape Tomorrow’s World” โดย ศาสตราจารย์ ดร. Lester Thurow (1998) ได้ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมโลกนั้นมีความคล้ายคลึงกับการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวโลกที่เป็นภูเขาไฟ ศาสตราจารย์ผู้นี้อาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์กายภาพเรื่องการเกิดแผ่นดินไหว (Tectonics) ด้วยความรู้ทางธรณีวิทยาและเรื่องการขาดดุลยภาพเมื่อถูกตัดขาดเป็นห้วงๆ (Punctuated Equilirium) โดยการอธิบายความรู้เปรียบเทียบทางชีววิทยา
    Thurow ทำนายว่า “เปลือกผิวโลกทางเศรษฐกิจห้าเรื่อง (Five Economic Tectonic Plates)” จะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 
(1) การค้าเสรีโลกาภิวัตน์แทนที่ระบอบคอมมิวนิสต์
(2) เศรษฐกิจข้ามชาติแทนที่เศรษฐกิจชาติ
(3) โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar) แทนที่โลกขั้วอำนาจเดียว (Unipolar)
(4) โลกยุคเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสมองกล/เทคโนโลยีสมัยใหม่ คอมพิวเตอร์/มือถือ แทนที่โลกยุคใช้มือคน
     (5) สังคมชนชั้นใหม่แทนที่สังคมชนชั้นเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยคนสูงอายุ (ยืนยาว 120-150 ปี) และคนจนนับร้อยล้านคนหนีข้ามแดน รัฐต้องจ่ายสวัสดิการมหาศาล
    คำทำนายระบุต่อ แล้วจะนำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรงขึ้นซึ่งเป็นไปอย่างกว้างขวาง กลายเป็นภัยคุกคามต่อทุนนิยมโลก  เพราะพลังทางอำนาจนิยม (วัตถุ/เงินทอง) จักถอยห่างจากพลังทางอุดมการณ์ (จิตใจ/ศีลธรรม) มากขึ้นทุกที
    Thurow เรียก “ภัยคุกคาม” นี้ว่า “ภูเขาไฟสังคม” (Social Volcano) เช่น คนจนถูกละเมิดสิทธิ ชาวนาถูกปราบปราม กรรมกรถูกกดขี่เอาเปรียบ ชาวบ้านถูกปิดกั้นการใช้ที่ดิน–ป่าไม้–น้ำ ชาวไร่ชาวสวนไร้ที่ทำกิน หมดทางไป เกษตรกรถูกกดราคารับซื้อผลิตภัณฑ์ คนชายขอบไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนหนี้สิน จนเกิด สงครามทรัพยากร ดิน–น้ำ–ป่าไม้–อากาศ เกิดสงครามแย่งกันกินแย่งกันใช้อย่างกว้างขวางใน หลายภูมิภาคทั่วโลก จึงเปรียบเสมือน ภูเขาไฟสังคมได้ระเบิดขึ้น
“ภูเขาไฟสังคม” นี้ ก็เปรียบเสมือน “สงครามที่ไม่ใช่รุกรบทางอาวุธทหาร (Non-Military War) ซึ่งเลวร้ายหนักหน่วงพอๆ กันกับสงครามฆ่ากันโดยอาวุธบน “การกดขี่ขูดรีดเอาเปรียบโหดร้ายที่คนกระทำต่อคนผู้เสียเปรียบผู้ด้อยโอกาสผู้ไม่มีทางสู้” จากอำนาจนิยมเผด็จการของชนชั้นผู้ปกครองทุนผูกขาดและทหาร
    สำหรับผมมองว่าปีหน้า 2022 จะเกิดวิกฤตการเงินโลกเริ่มที่สหรัฐอเมริกา เพราะนโยบายการเงินอเมริกาคิดแบบเก่า จะใช้ QE (Quantitative Easing) พิมพ์ธนบัตรเงินดอลลาร์สหรัฐโดยไม่มีทุนสำรองใดๆ หนุนหลังอยู่ร่ำไป สหรัฐพิมพ์เงินเป็นหนี้เงินกู้หวังกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเคยทำสำเร็จมาก่อน แต่คราวนี้หลายสิ่งหลายอย่างยิ่งเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม จึงดูทำท่าจะล้มเหลวเพราะเงินดอลลาร์ที่พิมพ์ไปกองอยู่ใน 2-3 แบงก์ก็ไม่สามารถระบายออกได้ ดังที่ความเร็วของเงิน (Velocity of Money) แทบไม่เคลื่อนไหว เพราะบรรดาบริษัทในภาคการผลิตไม่กู้เงินไปลงทุน เพราะเศรษฐกิจฝืดเคืองจากมหาวิกฤตโควิด จึงไม่มีแรงกู้ไปผลิตจึงไม่สร้างงาน หนี้สาธารณะอเมริกาจึงท่วม ทับทวีคิดเป็นมากกว่า 3 เท่าของจีดีพี อเมริกาตกในหล่มวิกฤตการเงิน  เป็นลูกหนี้ประเทศที่มีหนี้สินลำดับ 1 ของโลก ส่วนจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับ 2 รองจากญี่ปุ่นอันดับ 1
    การเมืองระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐอเมริกาชิงไหวชิงพริบทุกเม็ดทุกดอกน่าจับตา ดูเหมือนจีนเป็นต่อสหรัฐหลายขุม เช่น จีน ประกาศจะขายทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไปเรื่อยๆ และจีนจะไม่ปรับค่าเงินหยวนลง สินค้าเข้าจากจีนขึ้น 15% บวกกับเงินเฟ้อของดอลลาร์ในสหรัฐ 15%  รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ต้องการให้จีนหยุดขายพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐ จีนขายไปแล้ว 500 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐขอให้จีนช่วยซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 650 พันล้านดอลลาร์ แต่จีนปฏิเสธ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐต้องการมาจีนมาพบและเจรจากับจีน แต่จีนบอกไม่มีอะไรจะพูดด้วย ไม่ต้องมา ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ Jake Sullivan  อยากมาจีนเพื่อพูดเกี่ยวกับความประสงค์ของ ประธานาธิบดี Jo Biden ที่อยากมาเยี่ยมจีน จีนตอบว่ายังไม่มีอะไรสำคัญที่ต้องมาคุยกัน โดยสรุปจีนปิดประตู ไม่ให้ข้าราชการระดับสูงของสหรัฐมาเยี่ยมจีน และไม่ต้อนรับประธานาธิบดี Jo Biden
    จีนในฐานะเจ้าหนี้ถือไพ่เหนือสหรัฐอเมริกา เตรียมเทขายพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเตรียมการรับมือท่าทีของสหรัฐที่แสดงทีท่าว่าอาจจะ “เบี้ยวหนี้” ถ้าเกิดเรื่องเกิดราวระหว่างทหารจีนปะทะทางอาวุธเป็นสงครามใหญ่กับทหารอเมริกาขึ้นมาจริงๆ นั่นอาจเป็นอวสานเงินดอลลาร์และอวสานสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
    ดูเหมือนจีนอ่านอนาคตขาด ว่าระบบการเงินโลกจะขับเคลื่อนจากเทคโนโลยี “Blockchain” สู่ “Digital” สู่ “Quantum Computing” (QC) และ “AI” จะแทนที่บทบาทธนาคารในโลกที่จะลดความสำคัญลงอย่างมีนัยสำคัญ โลกเศรษฐกิจการเงินอนาคตจะเคลื่อนสู่ ยุค QC/AI สามารถคำนวณค่าหลายล้านตัวชี้วัดภายในไม่กี่วินาที จีนจึงเป็นประเทศแรกเตรียมการสู่ทิศทางนี้ล้ำหน้าโลก
    จับตาจีนเดินหน้าใช้แท็กติกการเงิน/การคลัง และอาศัยการทูตเพิ่มพันธมิตรสู้กับสงครามเย็นของสหรัฐ    โดยเฉพาะอย่างยิ่งควบคุมการเก็งกำไรเงินดิจิตอลหยวน รักษาความมีคุณภาพนโยบายการเงิน จีนจะเริ่มใช้เงินดิจิตอลหยวนปี 2023 โดยมีทองคำหนุนหลัง อย่างนี้แล้วอเมริกาจะพบจุดจบระบบการเงินโลกที่อิงดอลลาร์สหรัฐ    เท่านั้นยังไม่พอ จีนเปิดเกมรุกต่อเนื่อง จีนลงนามในสัญญากับอิหร่านจะซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอิหร่านเป็นเวลา 25 ปี, จีนต่อสัญญาเพื่อนบ้านที่ดีกับรัสเซีย 25 ปี, จีนตัดการค้าออสเตรเลีย 25%, จีนขายเครื่องบินเจ็ตประจัญบาน 50 ลำ และรถถัง 200 คันให้อาร์เจนตินา, จีนสนับสนุนอาร์เจนตินาในการเรียกคืนหมู่เกาะฟอล์กแลนด์จากอังกฤษ เป็นต้น
    “หัวเว่ย” เป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีนโดยแท้จริง  เพราะไม่ขึ้นต่อตลาดหลักทรัพย์จึงไม่ถูกควบคุมโดยเงินทุนระหว่างประเทศ จึงมีอิสระในการบริหารงาน “หัวเว่ย” เป็นความภาคภูมิใจของประเทศจีน จีนมุ่งพัฒนาประเทศจีนสู่ “อารยธรรมไซเบอร์” ในอนาคต
สี จิ้นผิง เพิ่มบารมีเพิ่มความเชื่อมั่นต่อภาวะความเป็นผู้นำของเขา เมื่อแลกนักโทษแคนาดากับ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน (CFO) คือลูกสาวของผู้ก่อตั้ง  Huawei ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมของจีน คือ “เมิง หว่านโจว” วันที่เธอเดินทางกลับถึงเมืองเซินเจิ้น (25 ก.ย.64) เธอกลับบ้านเยี่ยงวีรสตรีหลังถูกกักตัวที่แคนาดาเกือบ 3 ปี เธอกล่าวขอบคุณต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชนจีนทุกคน ที่สนามบินวันเธอกลับบ้านชาวจีนแห่ต้อนรับอบอุ่น
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ล้างระบบเศรษฐกิจผูกขาด ฟาดฟันคอร์รัปชันรายใหญ่จริงจัง ปฏิรูปสังคมการศึกษาและวัฒนธรรมสู่ความทันสมัยยุคใหม่ ยกเลิกการเรียนกวดวิชา  ปลูกฝังทัศนคติใหม่ให้เยาวชนไม่ฟุ่มเฟือยไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เอาอย่างดาราและตกเป็นทาสทุนนิยมตะวันตก ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้จริงจัง เพื่อให้ประชาชนชั้นกลางชาวจีนเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2568 ประกาศแนวทางและเป้าหมายใหม่ “Common Prosperity - เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
    ช่วง 8 ปีที่ผ่านมานำโดย สี จิ้นผิง ชาวชนบทจีนที่ยากจน 98.9 ล้านคนสุดท้ายที่อาศัยอยู่ภายใต้เส้นความยากจนในปัจจุบันนี้ ได้หลุดพ้นจากความยากจนแล้ว ในวันเฉลิมฉลองครบรอบ 72 ปีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และประธานคณะกรรมาธิการทหารของจีน สี จิ้นผิง ผู้นำในการเดินทางครั้งใหม่ เพื่อสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ ตระหนักในการสร้างสังคมจีนตามนโยบายสันติภาพต่างประเทศที่เป็นอิสระ จะให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างมุ่งมั่นจริงจัง
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเพื่อลดมลภาวะ แก้ปัญหา PM 2.5 โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งสุดท้ายปิดตัวลงในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2020 รัฐบาลจีนส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ลดการใช้น้ำมันลดฟอสซิล ลดคาร์บอนเพื่อสนับสนุนความพยายามลดโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แสดงความกล้าหาญในภาวะผู้นำ ได้สั่งทุบทิ้งเขื่อนรวม 40,000 แห่งภายในปี 2060 หรือ 40 ปีนับจากนี้ไป (2021) เพื่อหยุดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในจีน (https : youtube be/EvMyguZRKRg) กล่าวคือ โดยเฉลี่ย 1 วันจะทุบทิ้ง 2.4 เขื่อน ปัจจุบันจีนมีเขื่อนรวมทั้งสิ้น 98,002 แห่งทั่วประเทศจีน ทั้งนี้ เหตุภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่จนเขื่อนรับน้ำไม่ไหวเขื่อนจึงแตกพัง คือเขื่อนฉางจวง เมืองเจิ้งโจว  มณฑลเหอหนาน และอีก 2 เขื่อนที่มองโกเลีย ทั้งสองภัยพิบัติเขื่อนแตกส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อผู้เสียชีวิตผู้คนต่อพื้นที่เกษตร ต่อบ้านเรือนทรัพย์สิน ต่อถนนหนทางการคมนาคมและอื่นๆ มูลค่าเสียหายมหาศาล สี จิ้นผิง พิจารณาว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายงบประมาณบำรุงรักษาเขื่อนเป็นภาระสูงมาก การสร้างเขื่อนกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติเสียหายหนักหลายร้อยหลายพันเท่าทวีคูณ ไม่อาจฟื้นฟูระบบนิเวศกลับมาดังเดิมได้ เขื่อนสร้างขึ้นด้วยเหล็กและวัสดุและงบประมาณมากมายไม่สามารถรับน้ำทะลักท่วมเขื่อนล้นเกิดอุทกภัยน้ำท่วมเสียหายหนักทุกปี แถมเขื่อนไม่ได้สร้างประโยชน์พลังงานสะอาด ดังเป็นข้ออ้างของ “พวกบ้าคลั่งสร้างเขื่อน” ระบุไว้เลย แถมต้องเสียค่าบำรุงรักษาเขื่อนกว่า 4 หมื่นแห่งในจีนปัจจุบันเป็นภาระต่องบประมาณยิ่ง
    ดังนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงสั่งทุบเขื่อนทิ้งเพื่อเดินตามนโยบายเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ถือเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดของผู้นำจีน
    ดังอภิปรายข้างต้นก่อนปี 2021 จีนปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่จริงจังอย่างเป็นรูปธรรม ปฏิรูปทางการเมืองให้มีธรรมาภิบาล ปฏิรูปสังคมวัฒนธรรมการศึกษาและสิ่งแวดล้อม ปฏิรูปเศรษฐกิจการเงินการคลังให้มั่นคงเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงไฮเทค
    แต่ในทางตรงข้าม สหรัฐอเมริกาเจอกับวิกฤตการเงินและหนี้สิน กำลังเผชิญกับวิกฤตการคลัง รัฐมนตรีการคลังสหรัฐ เตือนการคลังสหรัฐขาดดุลเงินสด ซึ่งเงินสดจะหมดลง (18 ต.ค.64) เสียงผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การคลังสหรัฐ ถือว่าหนักหากแก้ไขปัญหาไม่ทันการณ์ อีกทั้งทางเศรษฐกิจทางสังคม อภิมหาอำนาจสหรัฐ เริ่มเสื่อมถอย  ซ้ำเติมด้วยปัญหาการเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติ บาดลึกในสังคมอเมริกันรอระเบิด
    ส่วนจีนแสดงถึงความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจเด่นชัด จีนเป็นประเทศมีทุนสำรองระหว่างประเทศลำดับ 1 ของโลก จำนวน 3.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    สงครามเย็น (Cold War) หมายถึง การต่อสู้ระหว่างประเทศต่อประเทศด้วยวิธีการต่างๆ ยกเว้นการทำสงครามรบกันด้วยอาวุธโดยเปิดเผย แต่ใช้วิธีแข่งขันกันทางกำลังอาวุธ และอาศัยกำลังทางเศรษฐกิจแทน เพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของกันและกัน “สงครามเย็นยุคใหม่” ในปัจจุบันพิสดารล้ำลึกยิ่งนักมากกว่าอดีต “สงครามเย็นยุคเก่า” ในอดีตทุนนิยมโลกเสรีสู้กับสงครามสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่ง สงครามเย็นยุคใหม่ ดังที่อภิปรายมาในบทความนี้ข้างต้นระหว่างอภิมหาอำนาจ สหรัฐ VS จีน
    สำหรับการแข่งขันกันทางกำลังอาวุธ ดังปรากฏในข้อมูลของ Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI)-สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน  ชี้ถึงเปรียบเทียบขนาดกองทัพและยุทโธปกรณ์สหรัฐ–จีน (2018) ปรากฏในตารางซึ่งสหรัฐเป็นต่อจีน อย่าลืมว่าในประวัติศาสตร์การทหารโลกสู้กันด้วยอาวุธนั้น กองทัพอเมริกาทั้งที่แสนยานุภาพทางการทหารและความทันสมัยของยุทโธปกรณ์เหนือกว่าหลายเท่า แต่เคยพ่ายแพ้ให้กับประเทศที่เล็กกว่า มีอาวุธยุทโธปกรณ์ด้อยกว่า ได้แก่ สหรัฐพ่ายแพ้ต่อ เวียดนาม และ อัฟกานิสถาน มาแล้ว!.

 วิวัฒน์ชัย  อัตถากร  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"