เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา นางสาวเฉลิมศรี ประเสริฐศรี ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ในฐานะทีมกฎหมายของเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน ได้รับจดหมายตอบรับจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล (แนวส่งน้ำยวม) หรือโครงการผันน้ำยวม โดยจดหมายดังกล่าวลงวันที่ 1 ตุลาคม 2564
โดยเนื้อหาระบุว่า ตามที่ท่านได้มีหนังสือคำร้อง ลงวันที่ 20 กันยายน 2564 ขอให้พิจารณาทบทวนโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวมนั้น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประสานส่งเรื่องให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีที่ได้มีหนังสือคำร้องดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่มีกรณีร้องเรียนเกี่ยวกับรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการ ซึ่งกรมชลประทานได้ว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำ แต่ประชาชนในพื้นที่ได้ร้องเรียนว่า กระบวนการจัดทำ EIA โครงการดังกล่าวขาดการมีส่วนร่วม และพบว่าอาจจะมีการใช้ข้อมูลบางส่วนที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชื่อและรูปบุคคลในรายงานที่ถูกอ้างอิง แต่รายงานดังกล่าวกลับได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการผู้พิจารณารายงาน EIA
แล้วทางเครือข่ายทราบว่าจะมีการนำรายงานดังกล่าวเข้าที่ประชุมของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในวันที่ 15 กันยายน 2564 จึงได้ทำหนังสือไปยัง กก.วล. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงวันที่ 13 กันยายน 2564 เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านไม่เห็นด้วยกับโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล และขอให้เลื่อนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ กก.วล.ออกไป โดยขอให้ส่งกลับรายงาน EIA ให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการทบทวนการพิจารณารายงานให้ครอบคลุมในทุกมิติ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะ กก.วล. ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาอนุมัติผ่านรายงานดังกล่าวไปในวันที่ 15 กันยายน 2564 แล้ว และจะนำเข้าสู่ ครม.พิจารณาในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ เครือข่ายได้ทำหนังสือคัดค้านไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้พิจารณาระงับการนำ EIA เข้าพิจารณาโดย กก.วล.และคัดค้านโครงการ แต่หนังสือเพิ่งส่งกลับมายังเครือข่ายนั้น อ้างเฉพาะเรื่องคัดค้านโครงการ และยังระบุวันในเอกสารไม่ถูกต้อง เห็นได้ว่า โครงการมีการดำเนินการในลักษณะขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ข้อมูลใน EIA ก็อาจจะไม่ถูกต้อง และดูเหมือนจะเร่งรัดดำเนินการ
เครือข่ายเป็นห่วงว่าการดำเนินการโครงการ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนกว่า 7.1 หมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ และที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า หน่วยงานได้เพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมและข้อห่วงกังวลของชุมชนในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง ชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ใน จ.ตาก จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ทางด้านนางสาวมึดา นาวานารถ ประชาชนหมู่บ้านท่าเรือ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ริมแม่น้ำยวม ใกล้กับจุดสร้างเขื่อนแม่น้ำยวม ระบุว่า วันที่ 28 ก.ย. ได้มีเจ้าหน้าที่ซึ่งแนะนำตัวว่ามาจากกรมชลประทาน เดินทางมาที่หมู่บ้านท่าเรือ และถามหาพี่สาวของตน เนื่องจากตนเองขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน และที่หมู่บ้านไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่คณะดังกล่าวได้ขอถ่ายรูป บอกกับพี่สาวว่ารู้จักกับตนเป็นอย่างดี และเสนอค่าชดเชยให้ โดยแจ้งว่าบ้านของพี่สาวจะโดนน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน
หลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งกรมชลประทานไม่เคยแจ้งว่าบ้านของพี่สาวจะโดนน้ำท่วม ในรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบก็ไม่เคยระบุชื่อพี่สาว แต่ครั้งนี้กลับมาแจ้งว่าจะท่วมและจะชดเชยให้ รู้สึกแปลกใจมาก และอยากทราบว่าความจริงของผลกระทบจากโครงการนี้ต่อพื้นที่ป่าอนุรักษ์ พื้นที่ชุมชนใน 3 จังหวัด จะเป็นอย่างไรกันแน่ ที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ชุดนี้เข้ามาจากนอกพื้นที่ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเวลานี้ชาวบ้านไม่อยากให้คนข้างนอกเข้า-ออก เพราะต้องการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และตอนที่ขอถ่ายรูปก็ให้ทุกคนถอดหน้ากากด้วย ทำให้ทุกคนรู้สึกกังวลใจเพิ่มอีก การเข้ามาของคนนอกถือว่าไม่เคารพชุมชมเลย”
ก่อนหน้านี้ นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทานฝ่ายวิชาการ ระบุว่า งบประมาณโครงการกว่า 70,000 ล้านบาท เมื่อสร้างเสร็จจะส่งประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ยืนยันว่าเป็นไปตามระเบียบการศึกษาที่มีกฎหมายคุมทุกระดับ รวมถึงการพิจารณาทางเลือกอื่นกรณีหากไม่มีโครงการนี้ ก็พบว่าไม่สามารถมีปริมาณน้ำมาทดแทนกันได้แบบมีนัยสำคัญต่อลุ่มเจ้าพระยาที่ดูแล 22 จังหวัด หรือกรณีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานเดิมที่ก่อสร้างมาเป็นเวลานาน และกรมชลฯ ก็ได้ดำเนินการควบคู่กันไป รวมถึงการปรับวิธีการปลูกข้าวเปียก-สลับแห้ง ซึ่งเป็นการพิจารณาทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
รองอธิบดีให้ข้อมูลสื่อมวลชนอีกว่า ส่วนประเด็นที่มีการปรับปรุงแก้ไข อาทิ 1.กรมจะสนับสนุนงบประมาณให้กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชปลูกป่าเพิ่ม 2 เท่า หรือประมาณ 7,000 ไร่ 2.ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 29 ราย 34 แปลง จะมีการชดเชยอย่างเป็นธรรมตามที่กฎหมายกำหนด 3.ด้านพันธุ์สัตว์น้ำ ได้ร่วมกับกรมประมงศึกษาระบบนิเวศและแนวทางแก้ไข จะมีการทำบันไดทางผ่านปลาเพื่อการอนุรักษ์ การป้องกันสัตว์น้ำข้ามลุ่ม โดยระบบการยับยั้งปลาด้วยคลื่นเสียง การติดตั้งระบบรวบไข่ปลาจมและไข่ปลาลอยออกจากสถานีสูบน้ำ เป็นต้น
4.ออกแบบเขื่อนโดยให้ความสำคัญกับธรณีวิทยา ระบบสูบน้ำจะลึกลงไปใต้ผิวดิน 30 เมตร จึงไม่มีผลกระทบต่อตลิ่ง 5.การออกแบบปากอุโมงค์ทางน้ำออก ที่บ้านแม่งูด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ รวมถึงการปรับปรุงลำห้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำ จะไม่กระทบต่อประชาชนห้วยแม่งูด สำหรับพื้นที่ 5 ไร่ ใช้สร้างอาคารสลายพลังงาน จะชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม และ 6.พื้นที่กองวัสดุจะมีการป้องกันไม่ให้กระทบต่อระบบนิเวศ และว่าเขื่อนน้ำยวมเป็นเขื่อนหินถมดาดคอนกรีตกักเก็บน้ำ 68.74 ล้านลบ.ม. อุโมงค์ส่งน้ำยาว 61.52 กิโลเมตร จะผันน้ำในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-มกราคม ไม่ผันในช่วงฤดูแล้ง.
สำนักข่าวชายชอบ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |