ตอนนี้มีโรคระบาดที่น่ากลัวกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ว่าโรคนี้มีคนติดไม่มากเป็นพันเป็นหมื่น มีเพียงแค่หลักร้อย และโรคนี้ไม่ได้คร่าชีวิตคน แต่มันเป็นโรคที่เป็นอันตรายต่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศชาติ โรคที่ว่านี้เกิดกับข้าราชการบางคนที่มีตำแหน่งสูงในหน่วยงานต่างๆ นักวิชาการบางคนที่อาศัยภาพลักษณ์ของการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการแสดงความคิดเห็น คนดังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักร้องบางคน นักแสดงบางคน นักกีฬาบางคน สื่อมวลชนบางราย บุคคลที่มีชื่อเสียงในการนำเสนอข้อความบนพื้นที่ Social Media ที่เราเรียกพวกเขาว่า Yutuber บ้าง Net Idol บ้าง และที่เป็นกันมากตอนนี้ก็คือคนที่เข้าประกวดนางงามบางคน ก็ดูเหมือนจะเป็นโรคนี้กันมากทีเดียว
โรคที่ว่านี้อาจจะเรียกว่า “โรคกลัวเด็กเกลียด” หรือ “โรคกลัวทัวร์ลง” การเป็นโรคนี้มีการแสดงออกที่อาจจะมีผลทำให้บ้านเมืองมีปัญหาด้านการพัฒนาและการดำรงรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศชาติ รวมทั้งการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม อาการของคนที่เป็นโรคนี้สามารถเห็นได้จากการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ การเขียนบทความ การแสดงความคิดเห็น การโพสต์ข้อความใน Social Media ลักษณะของเนื้อหาที่พวกเขาสื่อสารก็คือ พวกเขาจะแสดงการยอมรับการกระทำของเด็กๆ ที่ออกมาเรียกร้องเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตย ในลักษณะที่เราเรียกว่า “อวย” ไม่ว่าเด็กเหล่านั้นจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ไม่ดีงามอย่างไร เขาจะไม่เห็น หรือไม่พูดถึง จะป่วนเมืองอย่างไร จะใช้อาวุธอะไร จะทำร้ายเจ้าหน้าที่ จะทำลายสิ่งของ จะเผารถตำรวจ เผาป้อมตำรวจ เผาพระบรมฉายาลักษณ์ เอาธงชาติลงจากเสา เอาธงแดงหรือธงดำชักขึ้นแทน จะกล่าวข้อความเท็จด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย จะจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ จะแสดงทัศนคติชังชาติ จะหมิ่นเจ้าพนักงานทั้งข้าราชการทางการเมือง ข้าราชการประจำ จะหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของใครต่อใคร พวกเขาจะมองไม่เห็น หรืออาจจะเห็นแต่ก็ไม่ตำหนิอะไรเลย ทั้งๆ ที่พวกเขาน่าจะมีวุฒิภาวะที่เหนือกว่าเด็กๆ ที่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมและผิดกฎหมาย พวกเขาไม่คิดจะตักเตือนหรือให้คำแนะนำใดๆ
ในทางตรงกันข้าม พวกเขามักจะพูดจาชมเชยเด็กๆ โดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่เราได้พบเห็นกัน ทั้งสิ่งที่เกิดบนท้องถนนและสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ Social Media พวกเขาจะมองว่าเด็กๆ พวกนี้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย และเรียกหาเสรีภาพของพวกเขาที่หายไป โดยไม่คำนึงเลยว่าการใช้เสรีภาพจะต้องมีขอบเขต จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เราใช้ในการจัดระเบียบสังคม ไม่ว่าจะเป็นจารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม บรรทัดฐาน แบบแผน กฎหมายและความชอบธรรม เขาจะอ้างแต่เรื่องของสิทธิโดยไม่พิจารณาเลยว่าเด็กๆ กำลังใช้สิทธิเกินขอบเขต หรือกำลังทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังชมอีกว่าเด็กๆ ที่ออกมานั้นเป็นคนที่กล้าหาญ กล้าพูดความจริงที่ผู้ใหญ่บางคนไม่กล้าพูด ทั้งๆ ที่หลายอย่างที่เด็กพูดนั้นเป็นความเท็จ ขอชมเชยเด็กๆ ว่าเป็นคนที่กล้าออกมากำหนดอนาคตของตนเอง ผู้ใหญ่ (ที่พวกเขามองว่าใกล้ตายแล้ว) ต้องถอยไป ให้เด็กๆ เขากำหนดอนาคตของพวกเขาเอง คนที่ชมเด็กๆ เหล่านี้เขาเห็นการกระทำของเด็กๆ ตอนนี้ เขาไม่ตั้งคำถามบ้างเลยหรือว่า “เราจะให้เด็กๆ ที่คิดแบบนี้ มีการกระทำแบบนี้ ขึ้นมานำพาประเทศได้อย่างไร” พวกเขาน่าจะเห็นได้ว่าเด็กๆ เหล่านี้ขาดวุฒิภาวะ มีวิธีการคิดที่แปลก ตรรกะมีปัญหา แล้วพวกเขาจะมาเป็นผู้นำได้อย่างไร
นอกจากจะชมเด็กๆ อวยเด็กแบบให้ท้ายกันสุดๆ แล้ว พวกเขายังจะต้องแสดงรสนิยมว่าพวกเขา “ชอบ” สิ่งที่ “เด็กๆ ชอบ” แม้ว่าสิ่งที่เด็กชอบนั้นไม่เหมาะสมอย่างไร พวกเขาก็จะไม่กล้าตำหนิ เพราะถ้าหากไปตำหนิสิ่งที่ “เด็กชอบ” พวกเขาก็จะถูก “เด็กเกลียด” พวกเขากลัวเรื่องนี้มาก เมื่อมีเพลงที่ไม่เหมาะสมออกมา แล้วเด็กๆ พากันนิยม พวกเขาก็จะนิยมด้วย เมื่อมีดารา นักร้องออกมาพูดจาด้อยค่าประเทศชาติ ดูถูกประเทศไทย เด็กๆ ชอบ พากัน Share และ Retweet กันจำนวนเป็นแสนเป็นล้าน พวกเขาก็จะต้องแสดงอาการว่าพวกเขาก็ชอบการแสดงความคิดเห็นที่เรียกว่าเป็นการ Call out ของเหล่าบรรดาคนดังเหล่านั้น เมื่อมีพระสงฆ์ออกมาทำ Live Streaming พูดจาด้วยลีลาที่ไม่เหมาะสม เด็กๆ พากันนิยม เข้าไปติดตามดูกันเป็นแสน มีคนที่มองว่าพระสงฆ์ไม่ควรทำเช่นนั้น พวกเขาจะแสดงความคิดเห็นไปในทางที่ตรงกันข้าม ไม่ตำหนิพระสงฆ์ แล้วยังกล่าวชมเชยพระสงฆ์อีกว่าเป็นการปรับตัวตามยุคตามสมัย เป็นการสอนธรรมะให้แก่เยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งๆ ที่ถ้าหากเอาทุกประโยค ทุกถ้อยคำมาพิจารณา เราจะพบว่า
ถ้าหากจะลองถามคำถามกันต่อไปว่า เด็กๆ ที่เข้าไปติดตามเป็นแสนๆ นั้น ได้เรียนรู้ธรรมะข้อใด ได้บทเรียนที่ดีงามสำหรับชีวิตบ้างหรือไม่ และเมื่อฟังแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ และอยากจะทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล หลีกหนีห่างไกลอบายมุขหรือไม่ ท่านทั้งหลายคงจะตอบว่า ไม่เห็นมีบทเรียนด้านธรรมะแต่อย่างใด และเมื่อไม่มีบทเรียนทางธรรมอยู่ในการทำ Live Streaming เช่นนั้นแล้ว จะกล่าวว่านี่คือการสอนธรรมะสมัยใหม่ที่เป็นไปตามยุคตามสมัย ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้กระนั้นหรือ เมื่อมีคนตำหนิการกระทำของพระสงฆ์และรอดูว่าคนที่มีหน้าที่กำกับดูแลพฤติกรรมการกระทำของพระสงฆ์จะว่าอย่างไร เราก็พบว่าทั้งพระและฆราวาสที่มีหน้าที่กำกับดูแลการกระทำของสงฆ์ ไม่มีใครตำหนิการกระทำของพระสงฆ์เลย จนทำให้พระสงฆ์ Review ขายสินค้าแล้ว แสดงภาพยนตร์แล้ว
ชัดเจนแล้วว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราบางคน ในเวลานี้เป็นโรคกลัวเด็กเกลียดอย่างมาก อาการของโรคนี้ไม่ได้เป็นอันตรายกับตัวคนเป็นโรค แต่เป็นอันตรายต่อความเจริญของประเทศชาติ พวกเขาต้องกล่าวชมเชยการกระทำของเด็ก ไม่ว่าเด็กๆ จะทำอะไรก็ไม่ผิด เด็กเป็นคนฉลาด เด็กเป็นคนกล้าหาญ เด็กรู้ดีว่าเขาต้องการอะไร และผู้ใหญ่ต้องฟังเด็กพูด อย่าใช้กฎหมายจัดการกับเด็กๆ ที่ออกมาเรียกหาประชาธิปไตย พวกเขาจะต้องชอบในสิ่งที่เด็กๆ ชอบ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ สิ่งใดเด็กว่าดี พวกเขาก็ต้องบอกว่าดี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านคิดว่าโรคนี้ร้ายกว่าการแพร่ระบาดของโควิดหรือเปล่าล่ะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |