6 ต.ค.64 - ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. แถลงตอนหนึ่งว่า ส่วนยอดการฉีดวัคซีนในวันเดียวกันนี้ ยอดที่ฉีดของเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมจำนวน 734,804 โดส ทำให้ยอดรวมของประเทศไทยมีคนได้รับวัคซีนไปแล้ว 56,656,247 โดส หรือคิดเป็น 46.5% ของประชากร เข็มสอง จำนวน 21,595,916 โดส หรือ 30% ของประชากร เข็มสามจำนวน 1,554,444 คนคิดเป็น 2.2% ของประชากร

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ต้องเน้นย้ำเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคมเป็นต้นไป เด็ก 12-17 ปี เข้ารับบริการฉีดวัคซีน ขอเน้นย้ำผู้ปกครองรวมถึงน้องๆทุกคนที่ฉีดวัคซีนแล้วให้สังเกตอาการตัวเองด้วยว่าเมื่อฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วมีอาการหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานต่อเนื่องเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่ประเทศอเมริกา สิงคโปร์ อาการจะมีลักษณะเจ็บหรือแน่นหน้าอก หน้ามืด เป็นลม ต้องสังเกตอาการหลังฉีดไปแล้วภายใน 1 สัปดาห์ หากมีอาการให้รีบแจ้งผู้ปกครองและไปโรงพยาบาลใกล้บ้านให้เร็วที่สุด และอย่าลืมให้ข้อมูลทางแพทย์ด้วยว่าได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปเมื่อวันที่เท่าไหร่ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคมมีการฉีดไปแล้วเกือบ 30,000 คนทั่วประเทศ ย้ำว่ามีผู้ปกครองให้ความยินยอมลงทะเบียนมาแล้ว 3.5 ล้านคน ยังเหลืออีกเกือบ 1 ล้านคน ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน และเมื่อสอบถามปรึกษาหมอเจ้าของไข้แล้วตัดสินใจพร้อมเมื่อไหร่สามารถติดต่อขอรับวัคซีนได้

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า และที่ต้องเน้นย้ำเพราะโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในเด็กที่ฉีดวัคซีนในทางการแพทย์จะเป็นโรคที่มีการอักเสบของอวัยวะต่างๆในร่างกายโดยเฉพาะหัวใจ ก็เป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่มักจะพบได้บ่อย แต่ถ้าเทียบแล้วเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 มีลักษณะการอักเสบของอวัยวะคิดเป็นอัตรา 16 ต่อ 1 แสน แต่ถ้าเด็กได้รับวัคซีนโควิด-19 โอกาสที่จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบนั้นน้อยกว่าจากการติดเชื้อถึง 6 เท่า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ CDC ของสหรัฐอเมริกาสรุปโดยผู้เชี่ยวชาญ ว่าอัตราเสี่ยงที่จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีนนั้น เทียบแล้วน้อยกว่าอย่างมากกับการที่เกิดโรคจากการติดโควิด 19 ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปรับวัคซีน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่จะนำไปสู่การเปิดโรงเรียนได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน