ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จำนนต่อแรงกดดันมหาศาลจากทั้งรีพับลิกัน, เดโมแครต และประชาคมระหว่างประเทศ ยอมล้มเลิกนโยบายปราบปรามคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวดที่แยกเด็กจากครอบครัวผู้อพยพเข้าเมืองที่ถูกจับกุมแล้ว โดยลงนามคำสั่งฉบับใหม่เมื่อวันพุธเพื่อให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันในศูนย์กักกัน
ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงลายเซ็นบนคำสั่งฉบับใหม่ ที่ลงนามภายในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 โดยมีรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ อยู่ด้วย / AFP
เอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 ว่าก่อนหน้าที่ผู้นำสหรัฐจะยอมกลับลำในวันพุธ นโยบายความอดทนเป็นศูนย์ของรัฐบาลทรัมป์ได้พรากเด็กๆ มากกว่า 2,300 คน จากพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ภายหลังพวกเขาเดินทางข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมายเข้าสหรัฐ และถูกจับกุมตัวไว้นับตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม เด็กๆ เหล่านี้ถูกแยกไปพักตามค่ายกระโจมและสถานที่ต่างๆ โดยไม่สามารถติดต่อพ่อแม่หรือญาติได้
ตามรายงานของสื่อสหรัฐที่อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (เอชเอชเอส) แม้ทรัมป์จะลงนามคำสั่งประธานาธิบดียุติวิธีปฏิบัติแบบนี้แล้ว แต่รัฐบาลยังไม่มีแผนจะนำเด็กหลายพันคนที่ถูกพลัดพรากแล้ว กลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัว รายงานของนิวยอร์กไทมส์ ซึ่งได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่หลายคนในเวลาต่อมา กล่าวว่า เด็กกลุ่มนี้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของรัฐบาลกลางระหว่างรอกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง
ภาพถ่ายและรายงานเกี่ยวกับการแยกเด็กจากครอบครัวผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายสร้างความเดือดดาลและการต่อต้านภายในพรรครีพับลิกันของทรัมป์เอง ขณะที่นานาชาติพากันกล่าวโจมตีสหรัฐว่ากำลังละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทรัมป์กล่าวขณะลงนามคำสั่งฉบับใหม่ว่า คำสั่งของเขาฉบับนี้จะทำให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน เขาไม่อยากเห็นหรือรับรู้ว่าครอบครัวถูกพรากจากกัน
ต่อมาในการปราศรัยแบบการหาเสียงต่อหน้าผู้สนับสนุนในรัฐมินนิโซตา ทรัมป์ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาได้ผ่อนนโยบายควบคุมชายแดนให้อ่อนลง "เราจะให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน แต่การควบคุมชายแดนจะเข้มงวดอยู่อย่างนี้" ทรัมป์กล่าว
ผู้นำสหรัฐคนนี้ยังกล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่า เห็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายสำคัญกว่าพลเมืองชาวอเมริกัน
นักเคลื่อนไหวชุมนุมเนื่องในวันผู้ลี้ภัยโลกพร้อมชูป้าย ไม่มีเด็กคนใดผิดกฎหมาย ใกล้กับทรัมป์เวิลด์ทาวเวอร์ในนิวยอร์กซิตีเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 / AFP
ทรัมป์ยืนกรานมานานหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่า เขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วยการแยกเด็กๆ ออกจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และมีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วยการแก้กฎหมาย แต่แล้วเมื่อวันพุธเขากลับเปลี่ยนท่าทีแบบพลิกฝ่ามือ โดยมีรายงานว่า อิวานกา ลูกสาวของเขาซึ่งทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้พ่อด้วย เรียกร้องให้พ่อของเธอยุติการพลัดพรากครอบครัว ขณะที่เมลาเนีย สตรีหมายเลข 1 ซึ่งไม่ชอบยุ่งเกี่ยวการเมือง ยังวิงวอนให้ยุติโดยกล่าวว่า ควรต้องใช้ "หัวใจ" ในการบริหารประเทศ
คำสั่งของประธานาธิบดีระบุให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ รับผิดชอบเกี่ยวกับครอบครัวผู้อพยพต่อไป ไม่ใช่กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนเช่นนโยบายที่ผ่านมา
นอกจากนี้ คำสั่งยังบ่งชี้ว่า รัฐบาลมีเจตนาจะควบคุมตัวครอบครัวผู้อพยพเหล่านี้ไว้ไม่มีกำหนด ด้วยการท้าทายรัฐบัญญัติที่มีอยู่คือ ความตกลงฟลอเรสปี 2550 ที่จำกัดให้สามารถควบคุมตัวเด็กไว้ได้ไม่เกิน 20 วัน ไม่ว่าเด็กนั้นจะอยู่ลำพังหรืออยู่กับพ่อแม่ก็ตาม คาดว่าการท้าทายนี้น่าจะเผชิญการต่อสู้ทางกฎหมายอีก
ทรัมป์กล่าวว่า มีความจำเป็นที่ต้องคงนโยบาย "ความอดทนเป็นศูนย์" ไว้ต่อไป เพื่อป้องกันอาชญากรรมที่เขากล่าวโทษว่ามีคนเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นต้นเหตุ
ก่อนหน้านี้ ผู้นำหลายประเทศพากันตำหนินโยบายดังกล่าวเนื่องในวันผู้ลี้ภัยโลกเมื่อวันพุธ ทั้งนายกฯ อังกฤษ, แคนาดา, คณะมนตรียุโรป และสมเด็จพระสันตะปาปา.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |