ถึงตอนนี้สถานการณ์คลื่นใต้น้ำ การเมืองร้อนแรงภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สงบนิ่งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว บนกระแสข่าวใหม่การเมืองที่ถูกพูดถึงมากในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือเรื่องการเตรียมปรับคณะรัฐมนตรีที่คาดว่าจะลงตัวภายในเดือน ต.ค.นี้ รวมถึงกระแสข่าวความเคลื่อนไหวการเตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่จะมี ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยอยู่หลังฉาก ซึ่งทั้ง 2 ข่าวจะพบว่ามีความเชื่อมโยงกับการเมืองในพรรคพลังประชารัฐโดยตรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ต้องจับเข่าคุยการเมืองกับคีย์แมนการเมืองตัวจริงในพรรคพลังประชารัฐ สุชาติ ชมกลิ่น-รมว.แรงงาน-ส.ส.ชลบุรี-รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่แวดวงการเมืองเรียกขาน เสี่ยเฮ้ง-ชลบุรี ที่ก่อนหน้านี้เป็นประธาน ส.ส.พลังประชารัฐ และเป็นหนึ่งในแกนนำ พปชร.ที่รู้กันทางการเมืองว่า เป็นมือทำงานการเมืองในพรรค พปชร.ที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ-รองนายกฯ ไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง
เรายิงคำถามเข้าประเด็นทันทีถึงกระแสข่าวที่ออกมาตลอดว่า สุชาติ-รมว.แรงงาน ที่แวดวงการเมืองบอกว่าคือหนึ่งในกลุ่ม 4 ว. หรือกลุ่ม 4 รัฐมนตรีว่าการในพลังประชารัฐ ที่อยู่คนละขั้วกับกลุ่มของธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ-อดีต รมช.เกษตรฯ โดยถามไปว่า เรื่องกระแสข่าวไม่ถูกกับเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เรื่องนี้ในทางการเมืองเป็นอย่างไร สุชาติ-รมว.แรงงาน ฟังคำถามแล้วตอบว่า ทุกอย่างก็เขียนไปได้หมด เพราะภาพคนไปมองแบบนั้น คือผมมาจากภาคตะวันออก ผมก็มีกลุ่มมีเพื่อนที่มาจากภาคตะวันออกที่อยู่ในพลังประชารัฐ ซึ่งบางครั้งโดยส่วนตัวผมเอง ผมอาจเป็นคนที่เหมือนกับเป็นคนแข็ง แต่ผมเป็นคนมีกาลเทศะ ผมรู้กาลเทศะ แต่ผมก็เป็นคนที่ให้ความเคารพทุกคน แต่สิ่งที่ผมจะต้องไปเป็นเหมือนกับ...(หยุดคิด)...คือผมไม่ใช่จะไปเป็นนักการเมืองแบบต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังอีกอย่าง ผมเป็นคนแบบตรงๆ แต่ผมไม่มีอะไรอยู่แล้ว ถ้าทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือทำเพื่อประเทศชาติ บ้านเมือง เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงเพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ นายกฯ-พลเอกประวิตร และทำให้พรรคพลังประชารัฐแข็งแรง ถ้าเป้าหมายเดียวกันก็ไปด้วยกันได้หมด
สุชาติ ยังกล่าวถึงพรรคพลังประชารัฐด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐ ทางหัวหน้าพรรค พลเอกประวิตรเป็นคนที่ประวัติศาสตร์การเมืองต้องบันทึกไว้ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีพรรคการเมืองตั้งขึ้นมาแล้วส่งคนลงเลือกตั้งครั้งแรก แล้วมี ส.ส.เข้าสภาฯ เป็นร้อยกว่าคน โดยมี ส.ส.จากทุกภาคของประเทศ หลังการเลือกตั้งครั้งแรก จนเข้าไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ การทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้มันยากมาก เพราะอย่างสมัยพรรคไทยรักไทย ที่เป็นรัฐบาลครั้งแรกก็ไม่มี ส.ส.เขตที่มาจากภาคใต้ แต่พลังประชารัฐมี ส.ส.ทุกภาค ภาคใต้ก็มีไปถึง นราธิวาส ยะลา ที่เป็นจังหวัดใต้สุดของประเทศ รวมถึงตรัง ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช ภาคเหนือก็มี นี่คือคะแนนนิยมที่ประชาชนมีต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเกิดจากความสามารถของพลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค พปชร. ผมกล้าพูดเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีใครทำได้ ผมกล้าพูด อย่างไรก็ตาม เรื่องภายในพรรคพลังประชารัฐก็เป็นเรื่องปกติที่หลายคนมาอยู่รวมกันก็อาจมีปัญหาบ้างที่ความคิดความอ่านไม่ตรงกัน แต่ทุกคนในพลังประชารัฐมีจุดศูนย์รวมเดียวกันคือหัวหน้าพรรค พลเอกประวิตร การที่อาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้พรรคถึงกับแตก หรือทำให้พรรคเสียหาย ผมยืนยันว่าไม่มี เพราะทุกอย่างเราฟังหัวหน้าพรรค จะให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น เดินทางไหนก็เดินทางนั้น
ใครจะไม่รักหัวหน้าพรรคก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม ผมรักหัวหน้าพรรค เดินตามหัวหน้าพรรค แต่บางครั้งผมก็ต้องออกมาพูดบ้าง เพราะบางครั้งการเมืองเมื่ออยู่ในครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องพูดกันบ้าง เพราะถ้าไม่พูดแล้วมางอนกัน มันจะยิ่งซึมลึกลงไปเรื่อยๆ เพราะการที่เราพูดกัน มันก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันคุยกัน พี่น้องกันคุยกัน ถ้ามีกระทบกระทั่งมันก็ต้องพูดกัน เพราะหากไม่พูดกันเลย ครอบครัวก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
-เดือนตุลาคมนี้ พรรคพลังประชารัฐจะมีการสัมมนา ส.ส.ก่อนเปิดประชุมสภา 1 พ.ย. คิดว่าจะทำให้บรรยากาศต่างๆ ดีขึ้นหรือไม่?
ผมว่าคงดีขึ้นอยู่แล้ว แต่จริงๆ ทุกวันนี้มันก็ดีอยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้ง เมื่อเราได้พูดอะไรออกไปบ้าง มันก็จะมีเสียงสะท้อนกลับมา เพราะบางครั้งคนอาจไม่เข้าใจมุมมอง ความรู้สึกของแต่ละคน มันก็ควรได้มีการพูดคุยกันบ้าง
ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีการปล่อยข่าวออกมาโดยอ้างแหล่งข่าวว่าผมไปเสนอชื่อ ส.ส.ของพลังประชารัฐ 2 คนไปเป็นรัฐมนตรีโควตา พปชร. เรื่องแบบนี้มันก็เหมือนระเบิดที่โยนใส่ให้ผม เรารับไม่ได้ รับไประเบิดใส่ตัวเรา เราก็พัง เพราะผมมีมารยาท มีกาลเทศะ ผมไม่ใช่นักการเมืองหน้าใหม่ที่คิดอะไรไม่เป็น เราอยู่ในพรรค ยิ่งผมเป็นคนให้ความเคารพพลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค ดุจยังกับพ่อของเราคนหนึ่ง เราจะไปทำอย่างนั้นให้ท่านเสียใจได้หรือ ผมจะไปข้ามหน้าข้ามตาท่านได้ยังไง เพราะในระบบพรรคการเมืองเรื่องแบบนี้ หัวหน้าพรรคจะแสดงเจตจำนงจะให้ใครเป็น เพราะในพรรค คนที่เป็น ส.ส.ทุกคนอยู่ใน level เท่ากันหมด อย่างถึงผมเป็นรัฐมนตรี แต่ถอยหลังกลับไป ผมก็เป็น ส.ส.เหมือนทุกคนในพรรค ทุกคนก็เท่ากันหมด
ผมไม่สามารถไปบอกได้ว่าคนนั้นดี คนนี้ไม่ดี เราไปพูดแบบนั้นไม่ได้ ถ้าพูดมันก็ไม่ใช่เพื่อนกัน เราทำไม่ได้ คนที่ไปปล่อยข่าว ผมไม่รู้เป็นใคร แต่ก็ต้องดักคอก่อนว่า ทำแบบนี้มันไม่ถูก เราไม่ใช่คนไม่มีกาลเทศะ
-คิดว่าทำไมคนที่ชื่อสุชาติ ชมกลิ่น ดูแล้วเหมือนตกเป็นเป้าหลายอย่างในพลังประชารัฐ?
ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเราเป็นคนที่มีความชัดเจนสูง อย่างในตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าระดับรัฐมนตรีว่าการฯ ผมก็อายุน้อยที่สุด ในทางการเมือง ก็อาจมีคนมองว่ากำลังเป็น "ดาวรุ่ง" หรือไม่ แต่ทั้งหมดที่เจอ ผมว่าเป็นเรื่องปกติ ผมรับได้ ผมผ่านมาเยอะ แต่ผมก็ต้องพูดบ้างเพื่อความชัดเจน ผมก็ต้องดักคอไว้ก่อนว่า ที่ปล่อยข่าวพูดกันไปแบบนี้ มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย เพราะลูกผู้ชาย เขาไม่พูดกันลับหลัง เขาต้องพูดกันตรงๆ เพราะผมก็ต้องพูดตรงเหมือนกันว่า การที่จะไปทำแบบนั้น มันไม่ใช่ตัวผม
'เสี่ยเฮ้ง' กับอนาคตการเมือง
อยู่กับ 'พปชร.' ต่อหรือแยกวง?
-อนาคตทางการเมืองจะอยู่กับพลังประชารัฐต่อไปอีกนานแค่ไหน หากสุดท้าย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรวางมือทางการเมือง?
หากถ้าท่านหัวหน้าพรรค พลเอกประวิตร เกิดว่าวันหนึ่งถ้าสมมุติว่าท่านพัก โดยจะเป็นสมัยหน้าหรืออีกกี่สมัยก็แล้วแต่ ผมก็จะอยู่กับท่าน แต่ถ้าท่านพัก หรือถ้าพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ถ้าท่านพัก ผมก็ต้องตัดสินใจใหม่ในวันนั้นว่าจะเอาอย่างไรต่อไป หรือว่าผมจะพักตามด้วย ผมไม่ได้ยึดติดตรงนี้
สำหรับเสถียรภาพของรัฐบาล ผมมองว่าไม่น่าจะมีอะไร เพราะเสียง ส.ส.รัฐบาลก็เยอะกว่าฝ่ายค้านอยู่แล้ว หากเดินไปเรื่อยๆ เพราะนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริต แล้วพรรคพลังประชารัฐก็เดินไปเรื่อยๆ หลังจากนี้เมื่อข่าวต่างๆ ซาลง ผมว่ารัฐบาลอยู่ครบเทอมอยู่แล้ว แต่ถ้าจะอยู่ไม่ครบเทอม ก็คือการที่มีการเสี้ยมกันไปเสี้ยมกันมา สื่อตรงโน้นสื่อตรงนี้ อันนี้คืออันตรายที่สุด อย่างกระแสนิยมของพลเอกประยุทธ์ ผมก็มองว่าคะแนนสูงขึ้น ที่คนบอกว่าคะแนนตก ผมถามว่าตกตรงไหน เรื่องโควิด ถ้าการแก้ปัญหาไปผิดทาง สถานการณ์ก็คงไม่เป็นแบบวันนี้ ที่ตอนนี้กำลังมาถูกทางหมดแล้ว
ที่สำคัญพลเอกประยุทธ์มีความจริงใจกับประชาชน ทุ่มเทเสียสละ ที่เป็นจุดแข็งนายกฯ
สำหรับ สุชาติ-รมว.แรงงาน เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านยื่นซักฟอก อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 รอบติดกันภายในปีนี้ 2564 ทั้งที่บางส่วนมองว่าเขาน่าจะเป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงโควิด ท่ามกลางกระแสข่าวว่า การที่สุชาติถูกยื่นซักฟอกรอบล่าสุด เป็นเกมการเมืองกันเองในพลังประชารัฐที่ดีลกับฝ่ายค้าน เพื่อให้นายสุชาติถูกซักฟอก จะได้นำไปเป็นเหตุในการปรับ ครม.
โดยเรื่องดังกล่าว สุชาติ กล่าวว่า ในทางการเมืองการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเพื่อล้มรัฐบาลหรือล้มนายกรัฐมนตรีให้ได้ ก็ต้องตีขาไปที่กระทรวง ซึ่งทำงานเต็มที่ เพราะผมเองต้องยอมรับว่า ตั้งแต่เข้ามาทำงาน การทำงานในตำแหน่ง รมว.แรงงาน ได้มีการประสานกับฝ่ายต่างๆ เช่น พี่น้องในสหภาพแรงงานต่างๆ เยอะมาก โดยผู้ใช้แรงงานสิบกว่าล้านคน ผมเข้าถึงได้แทบทุกกลุ่ม
เมื่อเป็นแบบนี้ สมมุติหากฝ่ายค้านต่อไปจะต้องมาแข่งกับรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ต้องพยายามจะมาใส่ความผม ที่พี่น้องผู้ใช้แรงงานมีกับผม แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดี ที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เลยกลายเป็นเวทีให้ผมชี้แจงผลงานในช่วงการเป็น รมว.แรงงานในช่วงที่ผ่านมา และอีกอย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่าการที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ใช้แรงงาน จนปัจจุบันกระทรวงแรงงานกลายเป็นกระทรวงเกรดเอ จากเดิมเป็น C ตอนนี้ขึ้นมาเป็นกระทรวงเกรด A การทำแบบนี้ได้มันไม่ง่าย ยากมาก และพลเอกประวิตร รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ท่านกำชับผมตั้งแต่วันที่ผมเข้ารับตำแหน่งว่าให้ดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานดุจญาติพี่น้อง ให้ดูแลพี่น้องแรงงานเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ตอนเกิดโควิด กระทรวงแรงงานเราได้ดำเนินการทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด, การหาวัคซีนมาฉีดให้ผู้ใช้แรงงาน, การให้แรงงานที่ติดโควิดไปเข้ารับการรักษา และการจ่ายเงินเยียวยา ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่หน้าที่ แต่มันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบของคนในครอบครัว
สิ่งเหล่านี้กระทรวงแรงงานได้ทำไปทั้งหมด เป็นเพราะกระทรวงแรงงานเราเป็นห่วงคนในครอบครัวเรา เรากลัวคนในครอบครัวเราไม่มีที่รักษาหรือเสียชีวิต หรือทำให้เขาไม่มีขวัญกำลังใจในช่วงโควิด วันนี้กระทรวงแรงงานต้องประคับประคอง เข้าไปช่วยเยียวยาจิตใจเขา
"เราต้องยืนข้างเขา เราต้องติดดิน ผู้ใช้แรงงานเป็นอะไรไป เราก็ต้องรับรู้ร่วมกับเขา เราถึงจะอยู่ร่วมกันได้ การที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจผมทั้ง 2 ครั้ง หากใครได้ฟังสิ่งที่ผมชี้แจง ก็จะรู้ว่าผมเป็นคนที่ตอบจากความรู้สึก ผมพูดจากจิตใจ ผมไม่ได้มีกระดาษมาถืออ่าน ผมตอบเป็นฉากๆ กลางสภาฯ ทั้งหมดผมตอบได้ เพราะผมทำงานทุกอย่างกับมือ ทุกอย่างผมเป็นคนคิด เป็นคนเริ่ม แล้วนำเสนอต่อรัฐบาล นายกรัฐมนตรีให้โจทย์ผมมา ผมก็นำไปคิดเพื่อตีโจทย์ให้แตกแล้วนำเสนอออกมาเป็นแนวทางแก้ปัญหา ทุกอย่างเลยออกมาเป็นภาพบวกอย่างที่เห็น
ที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายผมถึง 2 ครั้งติดกัน ผมไม่คิดอะไร ก็ชอบด้วย เพราะมันทำให้ผมมีเวทีในการบอกกับประชาชนทั้งประเทศว่า สิ่งที่เขามากล่าวหาเรา ปรากฏว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านพูด กลายเป็นว่าสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปรายทำให้ผมได้พูดถึงผลงานในช่วงที่ผ่านมาไปเลย" รมว.แรงงานระบุ
*************************************
Factory Sandbox
โมเดลรับมือโควิด-ดันฟื้น ศก.
สถานการณ์โควิดในประเทศไทยจนถึงช่วงต้นเดือนตุลาคม ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มทรงตัวในระดับหนึ่งหมื่นคนต้นๆ ต่อวัน
ขณะที่ในส่วนของ ภาคแรงงาน พบว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้ออกนโยบายและมาตรการเชิงรุก เพื่อช่วยเหลือเยียวยาทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ รวมถึงนายจ้าง ผู้ประกอบการ โดยใช้เม็ดเงินไปแล้วร่วมสองแสนล้านบาทผ่านมาตรการต่างๆ
สุชาติ-รมว.แรงงาน กล่าวสรุปภาพรวมการช่วยเหลือภาคแรงงานและภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ในช่วงการรับมือวิกฤตโควิดที่ผ่านมาว่า สิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงแรงงานเข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ ให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานในช่วงโควิด ทำให้กลุ่มภาคแรงงานมีขวัญและกำลังใจ อย่างตัวผมเข้าไปอยู่ในไลน์กลุ่มผู้นำแรงงาน เช่น กลุ่มสหภาพแรงงาน ผมจะรู้ปัญหาต่างๆ ก็เข้าไปแก้ปัญหาให้เขาไปช่วยเขาหมด ช่วยเขาหมดทุกอย่างเท่าที่เราจะช่วยได้ โดยไม่ได้คิดว่าตัวเราเป็นรัฐมนตรี แต่คิดว่าเราเป็นคนต้องรับผิดชอบเข้าไปแก้ปัญหาให้พวกเขา ไม่ได้มองว่าเป็นรัฐมนตรีแต่มองว่าเป็นเพื่อนกัน คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะช่วยเพื่อนให้ได้
การช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดในช่วงที่ผ่านมา ทั้งแรงงานในและนอกระบบ เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน ทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ รวมถึงนายจ้าง ผู้ประกอบการ เพราะนายจ้างก็ต้องประคองธุรกิจให้อยู่รอด เพราะหากกิจการอยู่ไม่ได้ ลูกจ้างทั้งในและนอกระบบตลอดจนแรงงานพาร์ตไทม์ก็จะไม่มีงานทำ ซึ่งหลังจากมีคำสั่ง ศบค.ที่ออกมาตรการคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ที่มีการออกมาตรการเคอร์ฟิว ที่ส่งผลให้ธุรกิจ 9 ประเภทได้รับผลกระทบจากมาตราการ เช่น ร้านอาหาร ภัตตาคาร ผู้เช่าพื้นที่ขายสินค้าในห้างสรรพสินค้า ธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยวที่หยุดกิจการ นายกฯ ก็สั่งให้กระทรวงแรงงานทำตัวเลขผู้ประกันตนในระบบของสำนักงานประกันสังคมตามมาตรา 33 รวมทั้งหมด 29 จังหวัด ก็พบว่ามีผู้ประกันตนประมาณ 3 ล้าน 5 แสนกว่าคนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนนายจ้างก็ประมาณ 2 แสนกว่าราย
ส่วนแรงงานนอกระบบมาตรา 40 ก็ล้านกว่าราย นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นกลุ่มซึ่งยังไม่ได้เข้ามาสมัครมาตรา 40 เช่น พวกอาชีพอิสระ กลุ่มผู้ขับขี่วินมอเตอร์ไซค์ คนขับรถแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย หรือเด็กเสิร์ฟพาร์ตไทม์ รัฐบาลก็ให้สมัครเข้ามาตรา 40 ที่พบว่ามีประมาณเจ็ดล้านกว่าคน จากเดิมมีสามล้านกว่าคน ก็เพิ่มเข้ามาสี่ล้านกว่าคน คนกลุ่มนี้คือแรงงานนอกระบบ
ส่วนแรงงานที่เพิ่งออกจากงาน หรือออกไปก่อนหน้านี้ และรอการหางาน ตามมาตรา 39 มีประมาณล้านกว่าคน รวมแล้วแรงงานในระบบทั้งมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 รัฐบาลได้ออกมาตรการและแนวทางช่วยเหลือเยียวยาจากการได้รับผลกระทบโควิด โดยเฉพาะช่วง ก.ค.-ก.ย.64 มีการเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาประมาณ 12 ล้านกว่าคน โดยรวมแล้วใช้เม็ดเงินไป 80,000 กว่าล้านบาท ที่มีการโอนเข้ากระเป๋าเงินผู้ประกันตนและนายจ้าง ผู้ประกอบการ
...เงิน 80,000 ล้านบาทจะไปทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เป็นเงิน 200,000-300,000 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวก็จะหมุนเวียนในระบบ ในช่วงที่ผ่านมาสิงหาคม-กันยายน ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้จีดีพีประเทศเติบโต อีกทั้งทำให้นายจ้างรักษาการจ้างงานไว้ได้ ไม่ทำให้คนตกงาน
การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดรอบนี้ ที่ให้กระทรวงแรงงานเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ จากที่ผ่านมามักจะเป็นกระทรวงการคลัง ก็เพราะกระทรวงแรงงานมีฐานข้อมูลที่แม่นยำ จึงสามารถโอนเงินเยียวยาให้ถึงกลุ่มที่มีสิทธิ์ได้รับการเยียวยาดังกล่าวโดยตรงได้ถึงร่วม 98 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีเสียงตำหนิติเตียน เพราะกระทรวงแรงงานมี big data ที่นายจ้าง ผู้ประกอบการต้องส่งข้อมูลมาทำประกันสังคมอยู่แล้ว อีกทั้งการโอนก็มีการทำผ่านระบบ prompt pay กับเลขที่บัตรประชาชนจึงทำให้การโอนเงินทำได้รวดเร็ว แต่หากเกิดกรณีมีการร้องเรียน เช่นไม่ได้รับการเยียวยา หรือได้เงินช้า ทางกระทรวงแรงงานมีฐานข้อมูลอยู่ จึงสามารถชี้แจงตอบข้อสงสัยได้ทันทีว่าทำไมคนไหนไม่ได้ ทำไมได้ช้า แต่หากเกิดติดขัดเพราะสาเหตุ เช่นเรื่องความไม่สมบูรณ์ของเอกสาร หรือรายชื่อตกหล่น กระทรวงแรงงานก็มีฐานข้อมูลต่างๆ อยู่ในระบบ ก็สามารถตรวจสอบและจ่ายเงินให้ได้
สุชาติ-รมว.แรงงาน ยังกล่าวถึงการดำเนินโครงการ Factory Sandbox หรือโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโควิดในโรงงานในช่วงที่ผ่านมาว่า เรื่องการช่วยเหลือนายจ้างนอกจากเรื่องเม็ดเงินที่ให้แล้ว ก็มีโครงการ Factory Sandbox ซึ่งนายกฯ สั่งการมาให้ประคับประคองธุรกิจส่งออก โดยเชื่อหรือไม่ว่าธุรกิจส่งออก กลุ่มแรงงานผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั่วประเทศ พบว่าเป็นผู้ใช้แรงงาน พนักงานบริษัทในกิจการส่งออกร่วม 40 เปอร์เซ็นต์
...วันนี้ธุรกิจส่งออกคือเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของประเทศเครื่องเดียวที่ยังหมุนอยู่ ซึ่งก็ปรากฏว่าวิกฤตคือโอกาส เพราะต่างประเทศพวกซัพพลายเชนที่เดิมเขาสั่งจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม แต่ช่วงโควิดพบว่ามีการปิดตัว โดยตอนแรกของไทยเราก็แย่เหมือนกัน หลายแห่งก็ปิดการประกอบการ แต่เราก็มาร่วมกันแก้ปัญหา โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม มาบูรณาการกัน โดยฉีดวัคซีนให้กลุ่มธุรกิจโรงงานใน Factory Sandbox ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่วิธีการกว่าจะทำออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีการศึกษาและคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จนมีการออกมาตรการออกมา
...ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจส่งออกบางแห่งมีพนักงาน แรงงานหลายพันคน บางแห่งก็หมื่นกว่าคน ก็เหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ โดยที่ยังไม่ได้มีการฉีดวัคซีน แต่เมื่อเกิดโควิดระบาดก็ติดทั้งครอบครัว เราเลยจำลองประสบการณ์ที่เราเจอ ที่เคยมีคนติดโควิดทั้งครอบครัว เราก็มามองว่าหากคนติดโควิดทั้งโรงงานผลกระทบจะเป็นอย่างไร เราก็เห็นว่าจำเป็นต้องรักษากลุ่มนี้ไว้ พวกกลุ่มส่งออก เพราะต่างประเทศ คู่การค้ากับประเทศไทย เขาเชื่อมั่นในประเทศไทย ในโครงการ Factory Sandbox ในการตรวจ RT-PCR หรือการ Swab ร้อยเปอร์เซ็นต์
...ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น โรงงานแห่งหนึ่งมีคนงานหนึ่งพันคน เราให้ตรวจร้อยเปอร์เซ็นต์ หากเจอคนติดโควิดสักสิบเปอร์เซ็นต์หรือหนึ่งร้อยคน เรื่องค่าตรวจโควิด รัฐบาลออกให้หมด ผู้ประกอบการไม่ต้องจ่าย ซึ่งหากเจอคนติดเชื้อโควิดก็นำไปรักษาโควิดที่โรงพยาบาลในเครือประกันสังคมทันที โดยรักษาให้ฟรีเลย เจ้าของกิจการไม่ต้องออก ส่วนแรงงาน พนักงานที่เหลือเก้าร้อยคน เราก็จะมีข้อมูลเป็น data เพื่อดูว่ามีคนไปฉีดวัคซีนแล้วกี่คน สมมุติว่าฉีดไปแล้วห้าร้อยคน เหลืออีกสี่ร้อยยังไม่ได้ฉีด กระทรวงแรงงานก็จะนำวัคซีนที่มีการประสานกับกระทรวงสาธารณสุข นำไปฉีดให้กับอีกสี่ร้อยคนที่เหลือ
...เท่ากับว่าโรงงานแห่งนั้น พนักงาน แรงงานก็ได้รับการฉีดวัคซีนครบหมดเก้าร้อยคน ส่วนร้อยคนที่ติดโควิดพอรักษาหาย ออกมาภูมิคุ้มกันก็เกิดแล้ว ก็ถือว่าโรงงานในโครงการ Factory Sandbox ร้อยเปอร์เซ็นต์ถือว่าค่อนข้างปลอดภัย อีกทั้งต่อมาก็ยังคงให้มีการตรวจด้วย ATK ไปเรื่อยๆ เช่นสัปดาห์ละครั้ง เช่นหากตรวจสามรอบในสามสัปดาห์ ก็ถือว่ามีการคัดกรองเกือบ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ โดยผมได้ประสานกับเลขาธิการสำนักงานบีโอไอเพื่อให้บีโอไอออกใบรับรองให้
เมื่อเป็นแบบนี้ อย่างยกตัวอย่างผมเป็นคู่ค้าต่างประเทศ เห็นแบบนี้ก็เกิดความมั่นใจ กล้าสั่ง order การผลิตทีละไตรมาสไปได้เลย เพราะมั่นใจว่าโรงงานหรือกิจการไม่หยุดหรือปิดเพราะมีคนติดโควิดแน่นอน ขณะเดียวกันพนักงานในโรงงานที่อยู่ในโครงการ Factory Sandbox เมื่อเขาเลิกงานกลับไปอยู่กับครอบครัว เขาก็มีความมั่นใจว่าไม่ได้นำเชื้อโควิดไปให้คนในครอบครัวก็เกิดขวัญกำลังใจ มันก็ได้หลายต่อ
สุชาติ-รมว.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า ในช่วงวิกฤตโควิด จะเห็นได้ว่า การส่งออกของไทยเติบโตเพราะไปสั่งผลิตหรือสั่งสินค้าจากที่อื่นไม่ได้ คนก็เลยมาสั่งผลิตหรือสั่งซื้อสินค้าจากไทย ผมเจอผู้ประกอบการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เขาบอกเลยว่าโครงการ Factory Sandbox เป็นโครงการรัฐบาลที่ทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตสวนทาง อย่างบริษัทที่ผลิตเกียร์ให้กับรถยนต์ที่เป็นของนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ที่เข้าร่วมโครงการ Factory Sandbox ก็ทำหนังสือขอบคุณนายกรัฐมนตรี เพราะไม่เคยเห็นรัฐบาลใดดูแลผู้ประกอบการเหมือนกับเป็นเจ้าของกิจการเอง และสื่อก็มีการทำข่าวเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น จนนักลงทุน ผู้ประกอบการ มีการชักชวนเพื่อนนักลงทุนที่อยู่ต่างประเทศมาลงทุนเพิ่มในประเทศไทย นี่คือวิกฤตที่พลิกเป็นโอกาส โดยปัจจุบัน Factory Sandbox เข้าสู่เฟสสองแล้ว มีการนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมใหญ่ ศบค.เมื่อ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจที่ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ ทำหนังสือเข้ามาขอเข้าร่วมโครงการ Factory Sandbox
-สถานการณ์คนตกงานในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่โควิดระบาดหนักเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นหรือไม่?
สวนทางกัน พบว่าช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2563 ตัวเลขคนเข้าคนออกกลายเป็นว่า ตัวเลขคนออกมากกว่าคนเข้าประมาณ 5 แสนเศษ ซึ่งหมายถึงเช่น คนเข้าทำงานมีประมาณ 2 แสนคน คนออกมีประมาณ 7 แสนคน หักลบกันกลายเป็นว่าคนออกมีมากกว่าเข้าประมาณ 5 แสนคน
ผมนำตัวเลขในระบบประกันสังคมมาเปรียบเทียบกันกับของปี 2564 พบว่าช่วงมกราคมถึงกันยายน 2564 ที่คือช่วง 3 ไตรมาสแรกของทั้งสองปี มาเทียบกัน พบตัวเลขที่สวนทางกัน กลายเป็นว่าในช่วงปีนี้ คนเข้าทำงานมีมากกว่าคนออกจากงาน ประมาณ 1 แสน 8 หมื่นกว่าคน
เหตุผลก็เพราะ ภาคธุรกิจส่งออก มีการเติบโต ซึ่งตัวเลขดังกล่าวใช้ฐานข้อมูลจากตัวเลข 13 หลักของสำนักงานประกันสังคม แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ที่คนหายหรือออกจากงานไปแสนกว่าคนเกือบสองแสนคน คือคนที่ทำงานอยู่ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว
ส่วนที่มีการบอกว่า แต่คนที่ทำงานอยู่แม้ไม่ตกงานแต่ชั่วโมงการทำงานลดลง รายได้ลดลง ขอยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเรามีสถิติอยู่ พบว่ารายได้ต่อคนต่อชั่วโมงมีการทำงานมากขึ้น ทำให้มีรายได้มากขึ้น เพราะมีการทำงานล่วงเวลาหรือได้โอที
และนอกเหนือจากช่วยเหลือภาคแรงงานเรื่องเงินสมทบ การช่วยหางานแล้ว ทางกระทรวงแรงงานยังช่วยขยายการส่งออกแรงงานไปต่างประเทศ เราได้โควตาการส่งออกแรงงานไปต่างประเทศ โดยการเจรจาของกระทรวงแรงงานไปทำงานที่อิสราเอล จาก 5 พันคนก็เพิ่มเป็นร่วม 7 พันคน ขณะที่แรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดน, ฟินแลนด์ ก็มีการส่งแรงงานไทยไปทำงานมากกว่าปีที่แล้ว กระทรวงแรงงานเราทำทุกอย่างเพราะรู้ว่าตลาดแรงงานในประเทศอาจขยายตัวลำบากช่วงโควิด ก็พยายามไปขยายการส่งออกให้คนไทยไปทำงานที่ต่างประเทศให้มากขึ้น.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |