ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีความต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ทุกธุรกิจต้องมีการตื่นตัวและมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อวางแผนรับมือกับวิถีใหม่ในยุค New Normal การเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ไทยเบฟเองได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดในฐานะที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ แม้ว่าเราเองจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสที่มีการปิดช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญ แต่จากการปรับแผนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 36,638 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มและอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งเป็นบริษัทในอาเซียนบริษัทเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของเอเชียในด้านรายได้และมูลค่าทางการตลาด
จากการเตรียมความพร้อมและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในด้านต่างๆ ส่งผลให้ไทยเบฟยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน สะท้อนถึงศักยภาพของกลุ่มไทยเบฟที่มีความพร้อม ในทุกๆ ด้าน และพร้อมที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ PASSION 2025 กับก้าวที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเพื่อครองความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนที่มั่นคง และยั่งยืน Stable & Sustainable ASEAN Leader ด้วยกลยุทธ์หลักดังต่อไปนี้ BUILD (สรรสร้างความสามารถ) คือ สรรสร้างความสามารถและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจที่มีอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลกที่ให้ความใส่ใจในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจและมองหาตลาดใหม่ๆ STRENGTHEN (เสริมแกร่งความเป็นหนึ่ง) คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก เพื่อรักษาและก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการทำงานร่วมกัน UNLOCK (สุดพลังศักยภาพไทยเบฟ) คือ นำศักยภาพของไทยเบฟมีอยู่มาก่อให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมถึงการนำทรัพยากรต่างๆ เช่น ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่มาพัฒนาศักยภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มไทยเบฟที่มีความพร้อมอย่างรอบด้าน และความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มไทยเบฟให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ไปพร้อมกับการ “สร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” กับก้าวที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน ภายใต้ PASSION 2025 ที่เป็นมากกว่าวิสัยทัศน์ แต่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความทุ่มเท ตั้งใจ ของทุกคนในกลุ่มไทยเบฟ Stronger Together Towards 2025”
ประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา รองผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินและบัญชี ธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจสุราในภาพรวมยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องมาจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ซึ่งตอบรับกับการบริโภคที่บ้าน มาจากสินค้าหลักของไทยเบฟ
คือ รวงข้าว สุราขาวอันดับ 1 ในประเทศไทย และเพื่อตอกย้ำการเป็นสุราสีอันดับ 1 ในปีนี้สุราสีหงส์ทอง ได้ปรับบรรจุภัณฑ์ขนาด 350 มล. และ 700 มล. ให้มีภาพลักษณ์หรูหราและทันสมัยมากขึ้น หากดูจากผลวิจัยการตลาดในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง แสงโสมสามารถเติบโตกว่า 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในส่วนของ เบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์ สามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 26% สำหรับเมอริเดียนบรั่นดี ยังสามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 39% นอกไปจากนั้นคูลอฟ วอดก้า สามารถเติบโตและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 32% ในส่วนของแกรนด์รอยัลกรุ๊ปซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของตลาดวิสกี้ในประเทศเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประกอบกับมีเสถียรภาพของกระแสเงินสด
เลสเตอร์ ตัน ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปี 2564 เป็นอีกหนึ่งปีที่ “เบียร์ช้าง” ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการตลาด แม้ว่าจะต้องประสบกับสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ ที่ยากจะคาดการณ์ แต่กลุ่มธุรกิจเบียร์ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ส่งผลให้ผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจเบียร์ได้ริเริ่มและดำเนินการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานในโรงงานผลิตเบียร์ได้อย่างราบรื่น ซึ่งรวมถึงการรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมา ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มบริการจัดส่งถึงบ้าน และริเริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างแข็งแกร่ง ปี 2564 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับซาเบโก้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส โคโรนา (โควิด-19) ในประเทศเวียดนาม และการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดทั้งประเทศ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต การทำงาน และการดำเนินธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมเบียร์และ ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ซาเบโก้ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ในการดำเนินธุรกิจ มีการดูแลความปลอดภัย และสวัสดิภาพของตัวแทนขาย ผู้สนับสนุน การขาย รวมถึงพนักงานในโรงเบียร์และฝ่ายผลิต สิ่งสำคัญที่สุด คือ บริษัทต้องการให้พนักงานทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ปัจจุบันพนักงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกมีจำนวนทั้งสิ้นร้อยละ 46 ของพนักงานทั้งหมด ในท่ามกลางวิกฤตนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมมากขึ้น โดยได้เปิดตัวโครงการ “Community Care” และบริจาคเงินเกือบ 10,000 ล้านดอง เพื่อมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลและมอบสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันให้กับครอบครัวที่อยู่ในเขตกักตัว จำนวน 5,000 ครอบครัว การลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าผ่านป้ายโฆษณา ป้ายร้านค้า และการเป็นผู้สนับสนุนทางการตลาด บริษัทได้ขยายพื้นที่และเพิ่มป้ายโฆษณาของ Bia Saigon Chill ในสถานที่สำคัญทั่วประเทศ เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ นอกจากนี้บริษัทได้เปิดตัวป้ายร้านค้ารูปแบบใหม่ สำหรับ Bia Saigon Chill, Bia Saigon Special, Bia Saigon และ Lac Viet และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Bia Saigon ในฐานะตราสินค้าที่เป็นความภาคภูมิใจของเวียดนาม บริษัทภูมิใจที่ได้ให้การสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทเปิดตัวแคมเปญ “Stronger Together” ในช่วงวันชาติเวียดนาม โดยวางจำหน่าย
เบียร์กระป๋องรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น และสินค้าแฟชั่น ที่ออกแบบโดยศิลปินในประเทศ
โฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย) ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาความเป็นเลิศ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (Non Alcoholic Beverage หรือ NAB) ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จของ PASSION 2025 พร้อมเดินหน้า ‘ก้าว-แกร่ง-กว่าเดิม’ มุ่งเป้าดันธุรกิจให้เติบโตสู่ระดับสากล ปี 2564 เป็นปีแห่งความท้าทาย โดยทุกประเทศทั่วโลกรวม ทั้งประเทศไทยยังคงต้องเผชิญหน้าอย่างหนักกับปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจ ต่างได้รับผลกระทบไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง สร้างความกดดันและเป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามบริโภคภายในร้านอาหารเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อเนื่องให้กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการบริหารจัดการ รวมถึงการให้บริการกับร้านค้า ในงวด 9 เดือนของปีงบประมาณ 2564 ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายจานวน 11,688 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลงร้อยละ 8.6 ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังคงบริหารต้นทุนอย่างระมัดระวังด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชีจานวน 1,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชีที่ไม่รวมค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินจากเหตุเพลิงไหม้สายการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทโออิชิในปีก่อนดังนี้ ปรับรูปแบบการขายมุ่งเน้นร้านค้าปลีก ร้านค้าในชุมชนมากยิ่งขึ้น บริษัทหันมามุ่งเน้นการขายที่ช่องทางร้านค้าปลีกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าปลีกในบริเวณแหล่งชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ทำงานที่บ้านสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทในร้านค้าใกล้บ้านได้โดยสะดวก ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกพื้นที่ ที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ผสานการทำงานให้รวดเร็ว และคล่องตัวด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการขาย SERMSUK CAMP ช่วยให้พนักงานขายสามารถทำงานผ่านแท็บเล็ต ที่ย่อข้อมูลการขายทั้งหมดที่จำเป็น อยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว SERMSUK FAMILY ทำให้บริษัท สามารถให้บริการร้านค้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณขายในช่องทางร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้กับผู้บริโภค บริษัทได้นำเสนอน้ำดื่มคริสตัล น้ำดื่มคุณภาพ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นสำหรับสุขภาพและการดำรงชีพ ด้วยการทำราคาขายที่ถูกลงให้กับร้านค้า ตลอดจนห้างท้องถิ่นและร้านค้าปลีก และได้นำเสนอเครื่องดื่ม วีบูสท์ วิตามินซี 200 % ผสมเบต้ากลูแคน รวมถึงเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ พลัสซี เพื่อเกาะติดเทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เสริมแกร่งทีมงาน เตรียมพร้อมรับมือโลกใหม่ยุค New normal บริษัทได้เตรียมความพร้อมให้ทีมงานและคู่ค้า โดยประสานให้ได้รับการตรวจโควิดและฉีดวัคซีนตลอดจนมีการเพิ่มช่องทางการขายแบบออนไลน์ ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และเตรียมความพร้อมในการให้บริการคู่ค้าสำหรับช่องทางร้านอาหารและโรงเรียนที่จะกลับมาเปิดอีกครั้ง
นงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจอาหารมีการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยในปีที่ผ่านมาได้ปรับรูปแบบธุรกิจให้ตอบโจทย์ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) Driving Brand Penetration & Accessibility เพื่อเป็นการขยายช่องทางการเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุด ในปีที่ผ่านมาเรามีการเปิดขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่นอกห้าง เพิ่มขึ้น 24 สาขา วันนี้เรามีสาขาทั้งหมดรวม 673 สาขา (ณ 30 ก.ย. 2564) รวมทั้งเปิดรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ Food Truck อีกจำนวน 10 คันเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น (2) Driving the Delivery Channel โดยพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของเราเอง ประกอบกับขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านพันธมิตรทั้ง Food Aggregator และ E-Marketplace ส่งผลให้ช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (3) Digital & Technology ให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับปี 2565 ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ กลุ่มธุรกิจอาหารจะขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์หลัก อันได้แก่ (1) Drive Brand Penetration & Accessibility ขยายสาขาในรูปแบบที่เหมาะกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึง Food Truck และร้านแบบ To go (2) Grow Off-Premise Channels เสริมแกร่งและขยายช่องทางการขายนอกสถานที่ (3) Digitize Customer Engagement สร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล (4) Innovation นำนวัตกรรมมาสร้างประสบการณ์ใหม่เพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัยให้กับลูกค้า และ (5) Sustainability ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านความยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ดร.เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล เผยว่า ไทยเบฟ ปลูกฝังแนวความคิด ก้าวแกร่งกว่าเดิม ส่งเสริมให้พนักงานปรับตัวและปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานให้ก้าวเคียงคู่องค์กรท่ามกลางความท้าทาย ล่าสุด ภูมิใจอีกครั้งกับการได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work For และรางวัล Most Caring Company 2021 หรือ รางวัลสุดยอดบริษัทใส่ใจพนักงาน จาก HR Asia จากการสำรวจบริษัทในไทยเกือบ 300 บริษัท ด้วยผลคะแนนความผูกพันพนักงานระดับเป็นเลิศและการเยี่ยมชมบริษัท ซึ่งสะท้อนการดูแลเอาใจใส่พนักงานกว่า 46,000 คนในประเทศและ 62,000 คนทั่วโลกเป็นอย่างดี ตลอดปี 2021 เราปรับแนวทางการทำงานให้ปลอดภัย เพิ่มความคล่องตัว เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการแก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ทุกคนร่วมผสานพลัง เพื่อลดความกังวลใจของเพื่อนพนักงาน อาทิ จัดให้มีระบบลงทะเบียนดิจิทัลทุกวันเพื่อความปลอดภัยแก่พนักงานและคนรอบข้าง การจัดทำประกันภัยความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ให้แก่พนักงานทุกคน ทุกตำแหน่งงาน การจัดให้มีสายด่วน 24 ชั่วโมง ดูแลเรื่องต่างๆ ร่วมสร้างสรรค์ครอบครัวและสังคมให้ปลอดภัย โดยการสนับสนุนการฉีดวัคซีนร่วมกับภาครัฐรวมถึงวัคซีนทางเลือก กลุ่มไทยเบฟ ผลักดันแนวความคิดโอกาสไร้ขีดจำกัดในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ศักยภาพคนรุ่นใหม่ ซึ่งปีนี้โครงการ ThaiBev ASEAN Internship Program มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่าหนึ่งพันคนทั่วอาเซียน สะท้อนถึง ความเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดจากการสำรวจของ HR Asia และ Work Venture ครั้งล่าสุด
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |