ความเคลื่อนไหวระดับโลกที่โยงจีนกับสหรัฐฯ ในหลาย ๆ มิติเป็นเรื่องที่คนไทยควรจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้รู้ทันความเปลี่ยนแปลง “สมการแห่งอำนาจ” ในเวทีสากล
เพราะทุกย่างก้าวของวอชิงตันและปักกิ่งกำลังนำไปสู่ “ดุลอำนาจโลก” รอบใหม่
ที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเริ่ม “นิ่ง” ได้เมื่อใด
หรืออาจจะไม่มีวัน “นิ่ง” ได้อีกต่อไป เพราะปัจจัยและตัวแปรนั้นปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
เช้าวันเสาร์ (เวลากรุงเทพฯ) ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวว่า รัฐบาลแคนาดาปล่อยตัว “เมิ่ง หว่านโจว” ผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ยของจีน หลังจากถูกกักตัวอยู่ที่นั่นมา 3 ปี
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีข่าวว่า รัฐบาลจีนปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนที่ถูกจับในช่วงเวลาเดียวกันนั้นในข้อหา “จารกรรม”
ในขณะนั้น รัฐบาลจีนบอกว่าการจับแคเนเดียน 2 คนนั้นไม่เกี่ยวกับกรณีผู้บริหารหัวเว่ยแต่อย่างใด
แต่พอถึงคราวปล่อยตัวก็กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน”
ที่เมิ่ง หว่านโจวได้รับอิสรภาพ ก็เพราะมีการต่อรองระหว่างเธอกับอัยการของสหรัฐฯ
เธอยอมรับสารภาพผิดในข้อหาให้การเท็จเกี่ยวกับธุรกรรม ที่บริษัทในเครือที่อิหร่านได้ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรประเทศนั้น
แลกกับการที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยอมระงับการดำเนินคดีข้อหาเรื่องฉ้อฉลอื่นๆ
หากมองในแง่การเมืองก็อาจจะตีความได้ว่า สหรัฐฯ กับจีนยอมถอยกันคนละก้าวเพื่อลดประเด็นความขัดแย้งกันอย่างน้อยหนึ่งเรื่อง
แต่ในสัปดาห์เดียวกันนี้เอง สหรัฐฯ ก็เดินหน้ากดดันจีน และจีนก็กดดันสหรัฐฯ กลับในหลายกรณีเช่นกัน
ก่อนหน้าการปล่อยตัวผู้บริหารหัวเว่ยเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุการณ์แย่งชิงจังหวะระหว่างปักกิ่งกับไต้หวันในการขอเข้าสมัครเป็นสมาชิก CPTPP
ปักกิ่งยื่นใบสมัครวันที่ 16 กันยายน ผ่านไป 3 วันไต้หวันก็ยื่นเอกสารทำนองเดียวกัน
ขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะกลับมาเป็นสมาชิกกลไกเขตการค้าเสรียักษ์ที่วันนี้มีสมาชิก 11 ประเทศหรือไม่และเมื่อใด
แต่จีนชิงตัดหน้าก่อน
ตามมาด้วยไต้หวันที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับวอชิงตัน
และอังกฤษก็ได้เจรจาต่อรองเข้าเป็นสมาชิกในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ในจังหวะเดียวกันนั้น โจ ไบเดนเชิญผู้นำ Quad หรือ “จตุภาคี” มาประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาว...แบบตัวเป็นๆ
มากันครบครัน...คือนายกฯ จากอินเดีย, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
เพื่อแสดงความเป็นกลุ่มก้อนสำคัญในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกในการสกัดกั้นการเติบใหญ่ของจีน
จีนรุกทางเศรษฐกิจ มะกันลุยทางการเมืองและความมั่นคง
ไม่แต่เท่านั้น ไบเดนยังก่อตั้งกลุ่ม AUKUS (Australia-UK-US) เพื่อแบ่งปันเทคโนโลยีการสร้างกองเรือดำน้ำขับเคลื่อนด้วยพลังนิวเคลียร์ให้ออสเตรเลีย
เพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ออสเตรเลยเป็น “ฐานทัพเรือด่านหน้า” ให้สหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้
เพื่อเตือนจีนว่า โลกตะวันตกจะไม่ยอมให้จีนขยายอิทธิพลทางทะเลไปอย่างกว้างไกลในทะเลจีนใต้และน่านฟ้าฟากนี้เป็นอันขาด
แต่เกิดผลข้างเคียงอันคาดไม่ถึง เมื่อฝรั่งเศสเกิดอาการช็อกที่พันธมิตรอย่างสหรัฐฯ, อังกฤษ และออสเตรเลียไม่ปรึกษาหารือหรือแจ้งให้ตนรู้ล่วงหน้า
ฝรั่งเศสจะไม่กริ้วได้อย่างไร ในเมื่อตนมีข้อตกลงกับออสเตรเลียที่จะขายฝูงเรือดำน้ำ 12 ลำให้ด้วยงบประมาณกว่า 1.2 ล้านล้านบาท
ความสัมพันธ์จึงแตกดังโพละ
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงถึงกับเรียกทูตฝรั่งเศสประจำวอชิงตันและแคนเบอร์รากลับบ้านเป็นการประท้วง หลังจากที่รัฐมนตรีหลายคนดาหน้าออกมาชี้นิ้วกล่าวหาว่าเพื่อนทั้ง 3 ช่างไร้น้ำใจ แทงข้างหลังและสร้างความบาดหมางอย่างรุนแรง
ทั้งไบเดน, นายกฯ สกอตต์ มอร์ริสันแห่งออสเตรเลีย และนายกฯ บอริส จอห์นสันต้องออกมายอมรับความพลั้งเผลอ
แม้ว่ามาครงจะยอมถอย ตกลงจะส่งทูตกลับไปทำหน้าที่ที่สหรัฐฯ และออสเตรเลียเหมือนเดิม
แต่รอยร้าวนั้นลึกเกินกว่าจะปิดแผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างโลกวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยโควิด-19 กำลังก้าวเข้าสู่ “ความปั่นป่วน” ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไทยเราคิดและวิเคราะห์ในกรอบเดิมๆ ไม่ได้อีกต่อไป
จะยอมให้เรื่องเล็ก ๆ เช่นกรณี “วัคซีนบริจาค 1 ล้านโดส” จากอเมริกาสู่ไทยที่กลายเป็นชนวนดรามาทางการทูตเป็นประเด็น จนลืมเรื่องระดับสากลที่ใหญ่กว่าหลายร้อยเท่าไม่ได้อีกต่อไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |