ไม่ยอมตร.จับผิดตัว นายโทรขอเคลียร์


เพิ่มเพื่อน    

สภาทนายความ ภาค 4 รุดตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุตำรวจทางหลวงรวบประธานสภาทนายความศาลจังหวัดพล แต่เป็นการจับผิดตัว ย้ำชัดทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ทั้งตำรวจและทนายความ ขณะที่นายตำรวจใหญ่โทรศัพท์มาขอเคลียร์ ระบุตำรวจทำผิดจริงพร้อมขอเข้าพบที่บ้าน
    จากกรณีที่นายปกาญจน์ นพศรี อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12 หมู่ที่ 7 บ.หัวหนองแวง ต.ดอนดู่ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น ประธานสภาทนายความศาลจังหวัดพล ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง 2 นาย ขับรถตำรวจทางหลวงหมายเลขทะเบียน 1 ชญ-9004 กรุงเทพมหานคร หมายเลขข้างรถ 4209 มาจอดตรงข้ามที่ทำการ อบต.ดอนดู่ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น พร้อมแสดงหมายจับของบุคคลอื่นแต่ได้พยายามทำการจับกุมตัว นายปกาญจน์ ทั้งที่มีการพูดคุยและตรวจสอบหมายจับต่างๆ แล้ว แต่ตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นายไม่ฟังและพยายามที่จะจับกุมตัวนายปกาญจน์ขึ้นรถตรวจการณ์ตำรวจทางหลวงให้ได้ จนกระทั่งมีชาวบ้านมาพบและทำการช่วยเหลือไว้ได้ทันตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
    สำหรับความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 ก.ย.64 ผู้สื่อข่าวได้รับคลิปเสียงการสนทนาพูดคุยระหว่างตำรวจระดับสูงของ จ.ขอนแก่นกับนายปกาญจน์ เพื่อขอเคลียร์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยใจความสำคัญในการสนทนาคือ นายตำรวจที่โทรศัพท์มาได้บอกกับทนายความว่า ตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นายนี้เป็นตำรวจตั้งใจทำงาน เป็นพรรคพวกกัน ทั้งคู่ยอมรับว่าล็อกจริงและเป็นการถือหมายจับไปจับผิดตัว ตอนนี้ทั้งคู่ไม่สบายใจ อยากขอโทษ จึงประสานมาให้นายตำรวจที่อยู่ในสายได้มาพูดคุย และขอร้องว่าไม่ให้เรื่องถึงนักข่าว แต่ผู้เสียหายยืนยันว่าข่าวห้ามไม่ทันแล้ว 
    นายปกาญจน์ นพศรี ประธานสภาทนายความศาล จังหวัดพล กล่าวว่า ภายหลังจากที่นายตำรวจระดับสูงได้โทรศัพท์มาพูดคุย โดยส่วนตัวยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องระหว่างตนเองกับตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นาย แต่เป็นเรื่องของระดับองค์กรซึ่งได้มีการเสนอเรื่องต่อสภาทนายความเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม องค์กรตำรวจควรได้รับการแก้ไข หากจะขอโทษต้องขอโทษต่อหน้าผู้นำองค์กรระดับสูงของตนเอง และจะไม่มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว 
    "ขอยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่มีคนหน้าเหมือน ไม่มีการทำคลิปกลั่นแกล้งใคร และตำรวจทางหลวงในคลิปก็เป็นตำรวจจริงๆ คนรูปร่างท้วมชื่อ ด.ต.สุริยา วงษ์เบาะ คนรูปร่างผอมชื่อ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ มาเพชร  เป็นตำรวจทางหลวงประจำตู้ยามทางหลวง อ.พล จ.ขอนแก่น ส่วนรถก็เป็นรถตำรวจทางหลวงจริงๆ"
    ด้านนายสมศักดิ์ วาทบัณฑิตกุล กรรมการบริหารสภาทนายความ ภาค 4 พร้อมคณะกรรมการสภาทนายความ ภาค 4 ลงพื้นที่พบกับนายปกาญจน์ ผู้เสียหาย เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้กำลังใจ 
    โดยคณะกรรมการบริหารสภาทนายความ ภาค 4 ได้ลงพื้นที่ในจุดเกิดเหตุ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่นายปกาญจน์และชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ได้พาไปดูจุดที่ถูกตำรวจฉุดกระชากเพื่อจะอุ้มขึ้นรถและชาวบ้านช่วยเหลือไว้ได้
    นายสมศักดิ์ วาทบัณฑิตกุล กรรมการบริหารสภาทนายความ ภาค 4 กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อ สภาทนายความทราบเรื่อง และเห็นภาพที่ปรากฏในคลิปผ่านสื่อมวลชน ว่าที่ร้อยตรี ดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ จึงได้มอบหมายให้สภาทนายความภาค 4 ลงพื้นที่มาพบกับทนายความผู้ที่ถูกกระทำ เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและให้กำลังใจกัน ซึ่งเมื่อทราบข้อเท็จจริงแล้วก็จะเข้ารายงานต่อสภาทนายความในวันที่ 30 ก.ย.ที่จะถึงนี้ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
    "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อทราบข้อเท็จจริงจากนายปกาญจน์และชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์แล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะทนายความและตำรวจทางหลวงต่างเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นอาชีพที่ต้องปกป้องทรัพย์สินให้ประชาชน ถ้าตำรวจทางหลวงทำเช่นนี้ ประชาชนจะพึ่งพาอะไรได้อีก อีกทั้งการที่ตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นายมีหมายจับในมือ มีการระบุชื่อ-นามสกุล รูปหน้าชัดเจน หากไม่มั่นใจหรือมีความสงสัยก็ควรจะไปทำการตรวจสอบก่อน ไม่ใช่มีกระทำการที่รุนแรงถึงขั้นฉุดกระชากและสั่งให้ขึ้นรถเช่นนี้ เพราะคนที่ถูกออกหมายจับหากเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบชื่อ-สกุล ที่อยู่แล้วไปตรวจสอบไม่พบตัวก็กลับไปก่อน หรือสอบถามกับผู้นำชุมชน เพื่อจะได้ทราบว่ามีตัวตนในบ้านเลขที่ดังกล่าวหรือไม่  แต่ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทั้งสองนายเสมือนไม่พยายามที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่กลับกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง"
    นายสมศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสภาทนายความมีความเป็นห่วงความรู้สึกของทนายความ เ พราะสภาทนายความเป็นองค์กรวิชาชีพที่ทุกคนให้เกียรติ และนายปกาญจน์ก็ไม่ได้ทำให้องค์กรเสียหาย แต่ตำรวจทางหลวง 2 นายมากระทำการที่ไม่สมควรต่อทนายความ  จึงขอยืนยันว่าสภาทนายความจะให้การช่วยเหลือนายปกาญจน์อย่างเต็มที่ และต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อความรู้สึกของทนายความทั้งประเทศ รวมถึงประชาชนก็ให้ความสนใจว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ซึ่งทราบจากนายปกาญจน์ว่าประสงค์จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด   ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และหากมีความผิดเพิ่มก็สามารถแจ้งความเพิ่มเพื่อดำเนินการตามกฎหมายได้อีกด้วย
    ขณะที่ น.ส.ฑิฆัมพร พรมดี อายุ 45 ปี ส.อบต.ดอนดู่ที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่เกิดเหตุท่าทีของทนายไม่ได้หลบหนีและไม่ได้ขัดขืน ทั้งยังคงพยายามอธิบายและจะนำเอกสารยืนยันตัวตนให้ดู แต่ตำรวจไม่ยอมทั้งยังได้จับแขนทนายไพล่หลัง และบังคับพยายามให้ขึ้นรถให้ได้ ตนเองจึงไปผลักตำรวจออกเพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายกระทบกระทั่งกันไปมากกว่านี้ เพราะเป็นการจับผิดตัว จากนั้นตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นายจึงรีบขึ้นรถและขับรถออกจากหมู่บ้านไป ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมากที่ยืนดูเหตุการณ์ แต่ไม่กล้าที่จะออกมาช่วยหรือถ่ายคลิปไว้ เพราะตำรวจทั้ง 2 นายนั้นจ้องหน้าทำให้ชาวบ้านกลัว มีเพียงตนเองที่ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งพอตนเองหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิป ตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นายจึงยอมปล่อยตัวทนายและเหตุการณ์ก็เป็นไปตามคลิป ตนเองจึงเข้าไปแยกทำให้ไม่ได้ถ่ายคลิปต่อ
    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ (26  ก.ย.) นายปกาญจน์ ผู้เสียหาย พร้อมด้วยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เดินทางเข้าให้ปากคำต่อตำรวจ สภ.หนองสองห้อง เพื่อดำเนินคดีเอาผิดตำรวจทางหลวงทั้ง 2 นายใน 3 ข้อหา ประกอบด้วย กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำให้เสียทรัพย์ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"