อัยการกัมพูชาออกหมายเรียก "สม รังสี" อดีตแกนนำพรรคฝ่ายค้านที่ลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส เข้าให้การคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์พระราชสาสน์ของกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ที่ทรงแนะให้ชาวกัมพูชาออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งว่าเป็นของปลอม

แฟ้มภาพ สม รังสี เมื่อปี 2554 / AFP

    รายงานสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อวันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 อ้างสำเนาเอกสารหมายเรียกของอัยการกัมพูชาที่เรียกให้อดีตหัวหน้าพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ที่โดนศาลสั่งยุบพรรคตั้งแต่ปีที่แล้ว มาให้การต่อศาลในเดือนกรกฎาคม เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์กัมพูชาทางหน้าเฟซบุ๊ก

    สม รังสี ถูกสอบสวนหลังจากเขาโพสต์ลงเฟซบุ๊กของเขาซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก เมื่อวันที่ 6  มิถุนายน ตั้งคำถามเกี่ยวกับพระราชสาสน์ของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ที่ทรงแนะนำให้ชาวกัมพูชาออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ว่าอาจเป็น "ของปลอม" และ "ไม่มีค่า" ทั้งยังคาดคะเนไปว่าพระองค์อาจทรงถูกบังคับให้เขียนพระราชสาสน์นี้

    สำนักพระราชวังกัมพูชาปฏิเสธคำกล่าวหาของเขา และอดีตแกนนำฝ่ายค้านรายนี้อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปีหากศาลตัดสินว่ามีความผิด อย่างไรก็ดีคาดการณ์กันว่าสม รังสี คงไม่มาให้การต่อศาลเนื่องจากลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส เพื่อหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาและคำพิพากษาหลายคดีที่เขาระบุว่าเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง

    รัฐสภาที่พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของนายกฯ ฮุน เซน ครองเสียงข้างมาก ผ่านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ และทำให้กลุ่มสิทธิพากันกล่าวเตือนว่ากฎหมายฉบับนี้อาจกลายเป็นเครื่องมือที่ฮุน เซน ใช้บดขยี้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐ

    นับแต่มีกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ มีบุคคลถูกฟ้องร้องแล้ว 3 ราย ฐานแสดงทัศนะทางเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวโทษว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์ประมุขของรัฐซึ่งครองราชเมื่อปี 2547  และทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง สม รังสี เป็นบุคลที่มีชื่อเสียงคนแรกที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้

    ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านซึ่งส่วนใหญ่หนีการปราบปรามไปอยู่ต่างประเทศ พากันเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวกัมพูชาคว่ำบาตรการเลือกตั้งวันที่ 29 กรกฎาคม เพื่อประท้วงการเลือกตั้งที่ประเทศประชาธิปไตยในโลกตะวันตกหลายชาติยกเลิกการสนับสนุน

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐยังได้ขึ้นบัญชีดำนายพลคุมหน่วยอารักขาฮุน เซน โดยกล่าวหาว่าเขามีส่วนต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของทหารหน่วยนี้.