โพลตอกย้ำซ้ำ! ปชช.เบื่อม็อบ ‘3นิ้ว’ทะลุสน.


เพิ่มเพื่อน    

โพลสำรวจความหวังและการบั่นทอนใจในสถานการณ์โควิด  ประชาชนส่วนใหญ่ชี้ม็อบขัดขวางการทำมาหากินของผู้อื่นที่บริสุทธิ์ ก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้สัญจรและผู้พักอาศัยในพื้นที่ ใช้เด็กและเยาวชนเป็นเครื่องมือ  ต้องการให้ตำรวจเอาจริง ขณะที่ม็อบ 3 นิ้วเหิมจะบุกทำเนียบฯ เจอปิดประตูตีแมวถูกรวบตัวระนาว
    เมื่อวันที่ 25 กันยายน ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง ความหวังและการบั่นทอนใจในสถานการณ์โควิด-19 กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,104 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.3 เริ่มมีความหวังต่อการเปิดประเทศและฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่ร้อยละ 30.7 ไม่มีความหวัง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.4 รับรู้ เข้าใจและพอใจผลงานรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตให้เริ่มดีขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 31.6 ยังไม่พอใจ 
    ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงการแก้ปัญหาในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.7 ระบุการเปิดประเทศในพื้นที่นำร่องควรขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ, ร้อยละ 74.4 ระบุมาตรการต่างๆ ของรัฐ และความร่วมมือจากภาคประชาชน เริ่มสามารถทำให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ, ร้อยละ 74.3 ระบุการจัดหาวัคซีน เพียงพอ และกระจายวัคซีนได้เร็วขึ้น, ร้อยละ 74.2 ระบุการเข้าถึงการตรวจหาเชื้อโควิดได้ง่ายและเร็วขึ้น, ร้อยละ 73.9 ระบุจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง จำนวนผู้รักษาหายได้มากขึ้น, ร้อยละ 73.8 ระบุ เยาวชนเริ่มเข้ารับวัคซีนและกลับเข้าสู่การเปิดเรียน
    อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.9 ระบุม็อบขัดขวางการทำมาหากินของผู้อื่นที่บริสุทธิ์ ก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้สัญจรและผู้พักอาศัยในพื้นที่, ร้อยละ 94.4 รับรู้ข่าวม็อบรุนแรงรายวันที่ใช้เด็กและเยาวชนเป็นเครื่องมือ, ร้อยละ 94.2 ระบุต้องการให้ตำรวจเอาจริง เด็ดขาดทางกฎหมายกับแกนนำ กลุ่มผู้สนับสนุน ผู้ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด, ร้อยละ 93.7 ระบุ ผู้ปกครองและสังคมต้องไม่ปล่อยให้เยาวชนถูกปั่นหลอกใช้ซ้ำซากจนเกิดการเผชิญหน้า ขยายสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายในสังคมเหมือนในอดีต, ร้อยละ 93.3 ระบุม็อบที่ใช้ความรุนแรงเป็นการก่ออาชญากรรม เกินเลยการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย, ร้อยละ 93.2 ระบุ มีแกนนำและกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังรู้เห็นเป็นใจใช้ความรุนแรงถ่อยเถื่อน หยาบคายทำลายทรัพย์สินสาธารณะจากเงินภาษีของประชาชน และร้อยละ 92.9 ระบุไม่เห็นประโยชน์ของม็อบ ที่ใช้ความรุนแรง ขาดอุดมการณ์ ล้ำเส้นสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ทำลายภาษีของประชาชน สร้างความเดือดร้อน เบียดเบียนผู้อื่น
    ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลโพลนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีความหวังต่อการเปิดประเทศและเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดดีขึ้นตามลำดับ โดยรับรู้และพอใจกับผลงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น จากตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงและรักษาหายมากขึ้น การจัดหาวัคซีนเพียงพอและกระจายวัคซีนได้เร็วขึ้น การเข้าถึงการตรวจเชื้อเร็วและง่ายขึ้น การเปิดประเทศในพื้นที่นำร่องเป็นต้นแบบขยายต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ เด็กและเยาวชนเริ่มเข้ารับวัคซีนและกลับเข้าสู่การเปิดเรียน รวมทั้งมาตรการรัฐต่างๆ ที่ประชาชนเริ่มสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติ
อยากทำบุญ 9 วัด
    อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่กังวล หมดความอดทน และไม่เห็นประโยชน์กับม็อบรุนแรงรายวันที่ขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตยและล้ำเส้นสิทธิและเสรีภาพผู้อื่น ขัดขวางการทำมาหากินสร้างความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้สัญจรไปมาและผู้พักอาศัย มีแกนนำรู้เห็นเป็นใจใช้ความรุนแรงถ่อยเถื่อนหยาบคายเผาทำลายสมบัติสาธารณะ ที่น่าสนใจประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็น "อาชญากรรม" เกินเลยการชุมนุม ต้องการให้ตำรวจเอาจริงเด็ดขาดทางกฎหมายกับแกนนำ ผู้ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ไม่ปล่อยให้เยาวชนถูกปลุกปั่นหลอกใช้ซ้ำซากจนเกิดการเผชิญหน้าขยายสู่ความขัดแย้งทางสังคมดังเช่นอดีต
    ส่วนกรุงเทพโพลล์ โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “คนไทยกับการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,154 คน พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ร้อยละ 52.5 เห็นว่าหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาวที่จะถึงนี้ จะคึกคักค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 47.5 เห็นว่าจะคึกคักค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
    เมื่อถามว่า “อยากไปท่องเที่ยวในประเทศไทยรูปแบบใด หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย” กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 34.5 อยากไปท่องเที่ยวทำบุญ เช่น ทำบุญ 9 วัด รองลงมาร้อยละ 31.3 อยากไปเกาะ ไปทะเลสวยๆ และร้อยละ 31.2 อยากไปดอยภาคเหนือ
    ส่วนเรื่องที่กังวลมากที่สุด ถ้าต้องเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาวนี้ หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 69.5 กลัวนักท่องเที่ยวการ์ดตก ไม่สวมผ้าปิดปาก กลัวติดโควิด-19 รองลงมาร้อยละ 55.2 กลัวความแออัดของคนในสถานที่เที่ยว และร้อยละ 30.8 กลัวร้านอาหาร ไม่ปฏิบัติตามกฎ ศบค.
    สำหรับการปรับตัวจากสถานการณ์โควิด-19 หากไปท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 78.2 จะใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือบ่อยๆ รองลงมาร้อยละ 59.2 จะหลีกเลี่ยงสถานที่ที่แออัด คาดว่าคนจะไปเยอะ และร้อยละ 50.4 จะตรวจสอบข้อมูลของจังหวัดท่องเที่ยวเกี่ยวกับการระบาดโควิด-19
    ด้านความเชื่อมั่นว่าภาครัฐจะใช้มาตรการจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 สร้างความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.2 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 32.8 เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
    สุดท้ายเมื่อถามว่า “สนใจเข้าร่วมลงทะเบียนโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเริ่มวันที่ 24 กันยายนนี้หรือไม่” พบว่า โครงการเราเที่ยวด้วยกันมีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการร้อยละ 34.8 ขณะที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.8 ไม่สนใจส่วนที่เหลือร้อยละ 7.4 ไม่แน่ใจ
    ส่วนโครงการทัวร์เที่ยวไทย มีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการร้อยละ 33.4 ขณะที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.0 ไม่สนใจ ส่วนที่เหลือร้อยละ 6.6 ไม่แน่ใจ
"ดร.แรมโบ้" ฟาดเพื่อไทย
     นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงพรรคเพื่อไทยเตรียมฟ้องกลับนายสนธิญา สวัสดี ที่ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยอ้างแค่คำพูดของนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ โพสต์เฟซบุ๊ก  โดยตนเองตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีมูล นายไชยอมรก็คงไม่กล้าที่จะนำเรื่องนี้ออกมาโพสต์ให้สาธารณชนได้รับทราบ
    อีกทั้งการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ผ่านมา ตนก็เห็นบรรดาสมาชิกในพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวปกป้องกันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ประชาชนมองว่าพรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนม็อบ 3 นิ้วด้วยหรือไม่ ตนมองว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ และตอนที่ม็อบ 3 นิ้วออกมาชุมนุมก็เห็นคนในพรรคเพื่อไทยออกมาสนับสนุน ปกป้อง กันทุกคน แต่อาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์จากการชุมนุมของม็อบที่ออกมาเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกแทนพรรคเพื่อไทย แต่พอมีแกนนำม็อบออกมาโพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะที่มีพรรคเพื่อไทยเชื่อมโยงด้วย แต่กลับออกมาโวยวายเพราะกลัวถูกยุบพรรค ซึ่งหากไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ควรออกมาชี้แจง และไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ”
    "ไม่ใช่นายแอมมี่คนเดียวที่ออกมาโพสต์ถึงพรรคเพื่อไทยมีส่วนสนับสนุนม็อบ แม้แต่นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือบุ๊ง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เปิดบัญชีรับบริจาคในนามกลุ่มราษฎรยังออกมาระบุว่า เด็กพรรคเพื่อไทยมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนม็อบสามนิ้ว แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยไม่ส่งคนไปแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำทั้งสองคนนี้บ้าง พฤติกรรมอย่างนี้จะเรียกว่าอย่างไร อย่าคิดว่าคนอื่นโง่รู้ไม่ทันพรรคเพื่อไทยที่ออกแถลงการณ์ เป็นวิธีการที่ออกมาแก้ผ้าเอาหน้ารอดมากกว่า พวกโจรห้าร้อยส่วนใหญ่ที่รู้ตัวว่าทำผิด มักจะกินปูนร้อนท้องเสมอ ถ้าไม่สนับสนุนทุนให้ม็อบจริงจะไปตื่นเต้นกังวลทำไม ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้ และควรที่จะไปดำเนินคดีกับแกนนำม็อบสามกีบทั้งสองคนด้วยซ้ำ คือนายแอมมี่และนายบุ๊งมากกว่าที่จะไปดำเนินคดีกับนายสนธิญา สวัสดี เพียงคนเดียว ผมก็ย้ำอีกครั้งว่าไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้อย่างแน่นอน" นายเสกสกลกล่าว
    ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยและวิตกกังวลหลังรับทราบรายงานจากการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายไซต์ก่อสร้างบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงพบว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวน 14 คน เป็นเยาวชน 12 คน ผู้ใหญ่ 2 คน โดยเยาวชน 2 คนให้การยอมรับเป็นผู้ทำการเผาป้อมตำรวจได้รับความเสียหาย ช่วงวันที่ 22-23 ก.ย.2564 รวมทั้งหมด 8 ป้อม ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า ช่วงหลังๆ นี้การก่อเหตุรุนแรงมักเป็นเยาวชน และยังเป็นเยาวชนกลุ่มเปราะบางที่ถูกใช้ให้ก่อเหตุด้วย
    นายธนกรกล่าวว่า ขอประณามผู้ที่อยู่เบื้องหลัง มีเจตนาร้ายใช้เยาวชนโดยเฉพาะเยาวชนกลุ่มเปราะบางเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง และทำลายทรัพย์สินทางราชการ จึงอยากฝากเตือนถึงเยาวชน อย่าตกเป็นเหยื่อคำยุยงของผู้ไม่หวังดีให้กระทำผิดกฎหมาย ท้ายที่สุดเยาวชนผู้ก่อเหตุเองจะถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี​ มีประวัติเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย ซึ่งจะทำให้เสียโอกาส รวมไปถึงอาจกระทบต่ออาชีพการงานในอนาคตด้วย ทั้งนี้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น การชุมนุมต่างๆ ก็ต้องไม่มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาไม่ได้มีการชุมนุมอย่างสงบตามที่แกนนำบางคนกล่าวอ้าง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ทราบดีเพราะมีหลักฐานการใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน
ทะลุฟ้าเข้าโรงพัก
    พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้นำหมายค้นศาลเข้าตรวจค้นแคมป์ที่พักคนงานร้างใกล้สามเหลี่ยมดินแดง จากการตรวจสอบพบบุคคล 14 คน พร้อมสิ่งของต่างๆทั้งเศษระเบิดปิงปอง ลูกแก้ว ถังน้ำมัน  เศษแก้ว โล่พลาสติก และหมวกกันน็อก เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหา 1 คน พร้อมของกลางเป็นวัตถุระเบิดแสวงเครื่องและหนังสติ๊กจำนวนหนึ่ง อีกทั้งได้ทำการขยายผลจับกุมเยาวชนอีก 2 คนที่ก่อเหตุเผาและทุบทำลายป้อมตำรวจ เมื่อวันที่ 22 และ 23 กันยายนที่ผ่านมา โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    อย่างไรก็ตาม คดีกลุ่มที่ทุบและเผาป้อมตำรวจ เจ้าหน้าที่ได้มีการสืบสวน ขยายผลจับกุมผู้ก่อเหตุทุบทำลายได้แล้วกว่า 10 คน โดยเจ้าหน้าที่ก็จะมีการดำเนินการอยู่ตลอด คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีหมายจับออกมาอีกหลายราย  
    ส่วนการนัดหมายชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้า นัดหมายเริ่มต้นที่แยกยมราช เพื่อเคลื่อนไปยังทำเนียบรัฐบาล นัดหมายเวลา 16.00 น. และกลุ่มทะลุแก๊สที่สามเหลี่ยมดินแดง ขอเตือนว่าการชุมนุมหรือรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรค เป็นความผิดหลายข้อหา ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามสถานการณ์ทางการข่าวไว้แล้ว    
    โดยการชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้า คาดว่าจะเคลื่อนขบวนผ่านแยกนางเลิ้งไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาลนั้น ขอยืนยันว่าจะไม่ยอมให้เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นสถานที่ราชการหากกลุ่มทะลุแก๊สเข้าไปร่วมการชุมนุมด้วยนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะมีการเข้าไปเจรจาเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม เพื่อแยกระหว่างกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมระบุว่า ทั้งสองกลุ่มเคยอยู่ด้วยกัน เพียงแค่แยกออกมาตั้งกลุ่มใหม่ และเปลี่ยนชื่อเท่านั้นเอง
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 15.30 น. ได้มีมวลชนเริ่มทยอยกันมาตั้งขบวนกันที่แยกยมราช มีการตั้งจุดปราศรัยย่อย และทำกิจกรรมนำป้ายผ้ามาขึงเขียนข้อความต่างๆ เพื่อรอเวลาที่จะเดินขบวนเรียกร้องไปยังทำเนียบฯ นอกจากนี้ยังมีนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท เข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วย
         ทีมงานทะลุฟ้ายังได้ขนน้ำดื่มขับมาจอดที่ถนนพิษณุโลก ก่อนเตรียมอุปกรณ์ อาทิ สีแดง บรรจุขวดน้ำน้องตาใส จำนวน 1 เข่ง และป้ายผ้านำขบวน นอกจากนี้ ยังมีสีแดงบรรจุในภาชนะอื่น อาทิ ถุงดำ กล่องพลาสติก อีกเต็มคันรถ และได้มีการยกอุปกรณ์ที่ดัดแปลงจากท่อพีวีซี จำนวน 6 ตัวมาวางที่พื้น จากนั้นนำที่สูบลมล้อจักรยานมาต่อเข้าด้วยกัน และนำขวดรูปทรงจรวดมาเติมน้ำและสูบลมเข้าไป พร้อมประกาศให้สื่อถอยออกห่างโดยอ้างว่าอานุภาพร้ายแรงมาก ก่อนทดลองยิงไปยังทิศทางมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล
ปิดประตูตีแมว
         ขณะที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการนำแผงเหล็กมาวางกั้นตั้งแต่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล ยาวไปจนถึงฝั่งตรงข้าม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยเจ้าหน้าที่ได้นำรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือจีโน่ 2 คัน รถเติมน้ำ 2 คัน เข้ามาประจำการบริเวณดังกล่าวแล้วตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมาแล้ว รวมทั้งมีตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) เข้ามาประจำการบริเวณจุดพักคอยภายในสำนักงาน ก.พ.ร.อีกด้วย
         ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น. กลุ่มม็อบทะลุฟ้าได้มีการยิงจรวดขวดน้ำสีแดง ซึ่งทำด้วยอุปกรณ์ที่ดัดแปลงจากขวดพลาสติก ซึ่งภายในบรรจุน้ำสีแดง จากนั้นมวลชนม็อบทะลุฟ้าได้เริ่มต้นเคลื่อนขบวนจากแยกยมราช เพื่อมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ 4 ข้อเรียกร้อง คือ พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข, เขียนรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเพื่อประชาชน, ปฏิรูปสถาบัน และปฏิรูปตุลาการเพื่อคืนสิทธิการประกันตัว พร้อมกันนี้ยังระบุถึงการที่ใช้สีแดงเป็นการแสดงออกในวันนี้ว่า สีแดงแทนด้วยเลือดเนื้อของประชาชนที่ต้องล้มตายภายใต้การบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้
         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างเคลื่อนขบวนมีการปาสีแดงลงบนถนนเป็นระยะ โปรยกระดาษที่มีข้อความว่า “ประชาธิปไตยกำลังหมดลมหายใจ” ตะโกนขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงหยุดขบวนในบางจุดเพื่อยิงจรวดขวดน้ำแล้วเคลื่อนต่อไป พร้อมประกาศว่าให้เว้นระยะห่างระหว่างกันเพื่อความปลอดภัย โดยระหว่างทางก็พอประชาชนบางส่วนออกมาร่วมขับไล่ด้วย
    กระทั่งหัวขบวนเคลื่อนถึงแยกนางเลิ้ง ซึ่งถนนพิษณุโลก ที่จะตรงไปยังทำเนียบรัฐบาลนั้น มีการปิดกั้นด้วยรั้วเหล็ก ลวดหนามหีบเพลง เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน และรถฉีดน้ำแรงดันสูง ในเวลาต่อมาผู้ชุมนุมยิงจรวดขวดน้ำและปาถุงบรรจุสีแดงไปทางฝั่งเจ้าหน้าที่ จนบนถนนเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดง ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงขอให้ยุติและการชุมนุมถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายด้วย
         เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น เจ้าหน้าที่ใช้รถจีโน่ฉีดน้ำเพื่อตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุม จากนั้นเริ่มมีเสียงประทัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาต่อมามวลชนมีการปาขวดแก้ว เจ้าหน้าที่จึงใช้รถจีโน่ฉีดน้ำเป็นครั้งที่ 2 พร้อมประกาศให้มวลชนยุติการกระทำ แต่ฝั่งผู้ชุมนุมยังคงเผชิญหน้าปาประทัดและยิงหนังสติ๊กใส่เจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง 
    ทั้งนี้ ม็อบทะลุแก๊สพยายามจะเข้ารื้อลวดหนามหีบเพลง แต่เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำผสมสารเคมีเพื่อผลักดันผู้ชุมนุม พร้อมกับประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงอย่างต่อเนื่อง และยิงแก๊สน้ำตาในเวลาต่อมา แต่ก็ถูกตอบโต้จากฝั่งม็อบ ที่รุกเข้าใกล้แนวเจ้าหน้าที่อีกครั้งพร้อมยิงพลุและปาประทัดอย่างต่อเนื่องหนักหน่วง
       เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ คฝ.นำกำลังเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วด้วยรถจักรยานยนต์และรถกระบะเข้ามาทางถนนนครสวรรค์ เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่แยกนางเลิ้ง ทำให้มวลชนล่าถอย โดยผลักดันไปทางแยกยมราช พร้อมจับกุมผู้ชุมนุมบางส่วน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"