ข่าวคราวการบ้าน-การเมืองช่วงนี้...ค่อนข้างจะ อืด อย่างเป็นพิเศษ คือไม่ได้ขยับหน้า-ขยับหลัง ขยับขเยื้อนเคลื่อนไหว ยังคงวนมา-วนไป อยู่กับเรื่อง บิ๊กตู่ไปเพชรบุรี-บิ๊กป้อมไปอยุธยา อะไรประมาณนั้น คือกะจะให้ตีกัน-กัดกัน ทั้งที่ทั้งคู่ต่างก็พยายามไซ้ไป-ไซ้มาต่อหน้าสาธารณะ ให้เห็นแบบจะจะคาตา แม้ยังไม่ได้ถึงกับจูบปากให้เห็นกันชัดๆ เท่านั้นเอง...
-------------------------------------------------
และถึงจะตีกัน-กัดกัน...ก็อย่างที่ว่าเอาไว้แล้วว่า มันคงไม่ได้ทำให้ฉากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายซักเท่าไหร่นัก จำนวน ผู้ติดเชื้อโควิด คงไม่ถึงกับลดลงไปในระดับหลักร้อย หลักสิบ ยังปาเข้าไประดับหมื่นๆ ต่อไปอีกนั่นเอง หรือคงไม่ได้ทำให้ หนี้ครัวเรือน ลดฮวบลดฮาบ เหลือไม่ถึงกับระดับครึ่งหนึ่งของจีดีพี หรือไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ อันเป็นสุดยอดปรารถนาของใครต่อใครกันได้ง่ายๆ และคงไม่ได้มีส่วนช่วยให้แนวโน้มเศรษฐกิจ ไม่ว่าในระดับโลกหรือระดับประเทศไทยก็ตาม เกิดอาการสดใส ซาบซ่าน ไม่ต้องเสียเวลา แซนด์บ็อกซ์ หรือ สร้างปราสาททราย กันอีกต่อไป...
-------------------------------------------------------
โดยจะด้วยเหตุเพราะ การเมือง ไม่ค่อยขยับ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็มิอาจทราบได้ การบ้าน มันก็เลยต้องออกไปทาง น้ำพริก สร้างความเดือดร้อนให้กับ นิตยา อย่างน่าเวทนา น่าสงสาร เอามากๆ เพราะดันต้องไปเจอกับ ของเผ็ด ที่ร้อนปาก ร้อนลิ้น ยิ่งกว่าการรับประทานพริก หรือน้ำพริก ซะอีกด้วยต่างหาก ไม่ก็หนักไปทางพระมหาโน่น มหานี่ ตลกแห้ง ตลกเปียก แม้ไม่ถึงกับเอา ถาดตีหัว ซึ่งกันและกัน ระหว่างออกทางโซเชียล มีเดีย แต่ก็ก่อให้เกิดการเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ น่าเบื่อ น่ารำคาญ ไม่น้อยไปกว่า การเมือง นั่นแล...
----------------------------------------------------------
การที่ การเมือง ก็อืด แถม การบ้าน ก็ฝืด...เลยทำให้แทบไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่องอะไรมาเขียน มาแลกเปลี่ยนกันดี จะไปลอกเลียนอภิมหาปรมาจารย์ อย่างอาจารย์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่สามารถ คั่นบรรยากาศ ทำนองนี้ ด้วยการร่ายยาวมินิซีรีส์ เรื่องน้ำพริก เรื่องนวนิยายลากเลื้อยกันไปตอนๆ อย่างประเภท กาเหว่าที่บางเพลง อะไรทำนองนั้น ก็ดัน มือไม่ถึง ซะอีกต่างหาก แม้เคยเข้าครง เข้าครัว อยู่มั่ง แต่ก็ถนัดอยู่แค่ตำรากับข้าว 2 อย่าง 3 อย่าง ไม่สามารถลากยาวชนิดตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊ก หรือดัดแปลงเป็นบทรายการทีวีเป็นตอนๆ อย่างอาจารย์ท่าน ก็เลยต้องเลิกคิด เลิกฉีกไปในแนวนั้น...
-----------------------------------------------------
ส่วนนวนิยาย...แม้ว่าเคยขยับๆ อยู่บ้าง แต่หลังๆ มานี้ออกจะ สนิมเขรอะ ไม่ต่างอะไรไปจากบทกลอน บทกวี นั่นแหละทั่น แค่ไม่ถึงบท ไม่ถึงบาท ต้องนอนคิดกันเป็นคืนๆ ต่างไปจากกวีซีไรต์ไม่ใช่ซีฟู้ด อย่าง น้าเนาว์ (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) ที่สามารถรจนาได้แทบทุกเรื่อง ทุกเวลา ทุกฉากสถานการณ์ หรืออย่างคุณป้า ทมยันตี ผู้เพิ่งวายชนม์ไปด้วยความสงบเย็น แถมน่าจะสะอาด สว่าง มิใช่น้อย คือสิ้นลมไปในขณะหลับตานั่งสมาธิ ไม่ต้องเสียเวลามารับรู้ว่าใครจะให้ร้าย ใครวิพากษ์ วิจารณ์ จงเกลียด จงชังใดๆ ต่อไปอีก รายนี้นั้น...ถ้าหากเป็นนวนิยายแล้วล่ะก็ สามารถลากยาวได้แทบทุกเรื่อง ทุกแบบ แต่ในเมื่อตัวเราเองไม่มีขีดความสามารถพอที่จะลอกเลียนแบบใดๆ ได้เลย ก็เลยต้องเลิกคิด เลิกฉีก ไปโดยปริยาย...
---------------------------------------------------
ส่วนจะหันไป ด่าแล้ว-ด่าอีก แบบ ป๋าเปลว สีเงิน ท่าน...หลังๆ มานี้ก็ชักเริ่มรู้ๆ ว่าตัวเองแก่แล้ว ชราแล้ว แถมยังปราศจาก บารมี ใดๆ คุ้มครอง โอกาสที่จะถูก ถีบกลับ จึงย่อมมีอยู่สูงเอามากๆ ต่างไปจาก ป๋าเปลว ท่านอีกนั่นแหละ ที่แค่ใครคิดจะถีบ อาจต้องเจอเท้าซ้ายพาดก้านคอ เท้าขวาเจาะซี่โครง หงายหลังนับแปดเอาง่ายๆ ด้วยเหตุเพราะแม้จะแก่...แต่ก็ยังมีไฟอยู่ ไม่ใช่แก่แล้ว-แก่เลย แบบอันตัวข้าพเจ้าเอง ยิ่งถ้าหากแก่แบบคุณน้าอาเฮีย กาแฟดำ หรือ สุทธิชัย หยุ่น ด้วยแล้ว ยิ่งลอกเลียนแบบยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ คืออะไรจะ นะขรั่บๆ ได้ตั้งแต่หัวเช้าไปยันเที่ยงคืน โดยไม่ได้มีทีท่าว่าเรี่ยวแรงจะตกเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ามียาอะไรดี หรือไปรับประทานอะไรมา จึงช่างขยันขันแข็งซะเหลือเกิน...
---------------------------------------------------
ยิ่งถ้าหากเป็นอาเฮีย สนธิ ลิ้ม ด้วยแล้ว...ยิ่งไม่มีโอกาสลอกเลียนแบบใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะในแง่ความลึก ความรอบด้าน ยิ่งโดยเฉพาะความกล้า ความห้าว ด้วยแล้ว ยิ่งต้องขออนุญาตชิดซ้ายตกคู ตกคลองไปก่อน เพราะระดับพร้อมที่จะ เผาแบงก์ห้าร้อย-เพื่อตามหาเหรียญบาท ซึ่งตกหล่นอยู่ที่ไหนต่อที่ไหนซักแห่ง อันนี้...ต้องเรียกว่าจากบทเพลงหนึ่งเดียวคนนี้ หรือมีแต่รายเดียวเท่านั้น ที่สามารถออกอาการในลักษณะดังกล่าว แม้จะ 70 ปาเข้าไปใกล้ๆ จะ 80 อีกไม่นานก็ตาม...
----------------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้สภาพ การเมืองก็อืด-การบ้านก็ฝืด จะหันไปพึ่งพาบริการพวกเด็กๆ ที่เขียนข่าว วิเคราะห์ข่าว อยู่ตามหน้าหนังสือ หรือในจอทีวี หรือตามโซเชียล มีเดียต่างๆ ก็น่าจะลำบากอีก เพราะส่วนใหญ่มักหนักไปทาง เบบี้ ไปด้วยกันทั้งนั้น ขี้ตื่น-ขี้ยัวะ แถมบางครั้งยังขี้หก อีกด้วยต่างหาก มิหนำซ้ำยังตื้นแสนตื้น มองแวบเดียวก็เห็นโคลน เห็นเลน ไม่ได้กว้างขวาง ลุ่มลึก เหมือนมหาสมุทร แม่น้ำ ลำคลองใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย มีแต่บรรดาพวกแก่ๆ ทั้งหลายที่ยังไม่ถึงกับตายเท่านั้นเอง ที่ยังคงพอพึ่งได้ ดังนั้น...ในเมื่อการเมืองอืด-การบ้านฝืด แถมสื่อฯ ยังดันมาจืดซะยิ่งกว่าจืด ชืดซะยิ่งกว่าชืด อีกด้วย ก็เลยยิ่งส่งผลให้ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเขียน มาแลกเปลี่ยนกันดี...
----------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...ภาวะเช่นนี้ ฉากสถานการณ์เช่นนี้ มันคงไม่ได้ดำเนินไปแบบตลอดปี-ตลอดชาตินั่นแหละทั่น!!! ด้วยเหตุเพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้ กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ กฎอนิจจลักษณะ หรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงปฏิเสธ อะไรก็ตามที่ เกิดขึ้น และ ตั้งอยู่ ย่อมต้อง ดับไป หรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา แม้ทุกสิ่งทุกอย่างทำท่าว่าจะเสื่อมลงๆ ไปตามกงล้อแห่งกาลเวลา แต่ด้วยคุณลักษณะของกงล้อ ที่มีลักษณะไม่ต่างไปจาก ธรรมจักร นั่นเอง โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมุนขึ้นๆ หวนกลับไปสู่ความเจริญ รุ่งเรือง และไหลลื่น ได้อีกครั้ง ก็กำลังรอคอยอยู่ในอนาคตเบื้องหน้า อีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ หรือ...คงไม่นานเกินรอ!!!
---------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Douglas Jerrold (อีกครั้ง)... “In this world, truth can wait; she is used to it. - ในโลกนี้...ความจริงรอคอยได้ เพราะความจริงเป็นฝ่ายรอคอยจนชินซะแล้ว...”.
---------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |