สหภาพยาสูบบุก'คลัง'ค้านขึ้นภาษีบุหรี่แพง!


เพิ่มเพื่อน    

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 13.30 น. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ ได้เดินทางมายื่นหนังสือที่กระทรวงการคลัง กรณีกระแสข่าวการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ 1 ต.ค. 2564 อาจทำให้บุหรี่ขึ้นราคาอีกซองละ 6-8 บาท และมีกลุ่มเอ็นจีโอออกมากดดันให้กระทรวงการคลังและรัฐบาลขึ้นภาษีครั้งนี้ให้สูง ๆ โดยอ้างว่าจะช่วยลดการสูบบุหรี่ และจะไม่เป็นการเพิ่มปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยระบุว่า อยากเรียกให้กระทรวงการคลังยึดมั่นในหลักการเดิมที่เคยวางไว้ว่า การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่นี้ จะต้องให้มีความสมดุลทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. รายได้ภาษี 2. ผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่ 3. ผลกระทบต่อปัญหาบุหรี่เถื่อน และ 4. นโยบายการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำหนดนโยบายภาษีควรต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาของกระทรวงการคลัง ไม่ใช่กระทรวงสาธารสุข หรือเอ็นจีโอ จึงจะเกิดความสมดุลของนโยบายได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ พนักงานและลูกจ้างการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เกือบ 3 พันชีวิต กำลังวิตกกันมากว่ากระทรวงการคลังจะถูกกดดันให้เห็นชอบไปกับแนวคิดการขึ้นภาษีแบบก้าวกระโดดของกลุ่มเอ็นจีโอ ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาที่ ยสท. กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเมื่อปี 2560 และส่งผลต่อรายได้ของพนักงานและลูกจ้าง ยสท. และครอบครัวมาต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปีแล้ว

ส่วนกรณีที่เอ็นจีโออ้างว่าการขึ้นภาษีไม่ได้ทำให้บุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น และให้รัฐไปเน้นการปราบปรามนั้น เป็นแนวคิดที่ไม่ได้สะท้อนถึงสภาพความเป็นจริง การปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายนั้น โดยปกติแล้วไม่มีทางทำได้ทั่วถึงโดยสมบูรณ์อย่างในอุดมคติของเอ็นจีโอ ไม่ใช่แค่กับเรื่องบุหรี่เถื่อนเท่านั้น แต่เป็นปัญหากับอาชญากรรมอื่น ๆ เช่นกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนนี้บุหรี่เถื่อนจึงทะลักเข้ามามาก

สำหรับรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบของรัฐบาลที่เคยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นก็กลับลดลงทุกปี และยังทำให้เกษตรกรและเครือข่ายผู้ค้าบุหรี่ที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายเกือบ 5 แสนคน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ต่างได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดระยะเวลาเกือบ 82 ปีที่ตั้งโรงงานยาสูบ จนมาถึงการเป็นการยาสูบแห่งประเทศไทย ผลกำไรสุทธิ 88% ที่ ยสท. ต้องนำส่งเข้าคลังก็ไม่ได้มีการนำส่งมาตั้งแต่ปี 2560 เท่ากับเม็ดเงินที่ ยสท. นำส่งคลังหายไปถึง 3.4 หมื่นล้านบาท แต่คนได้กลับไปซื้อบุหรี่เถื่อนกันมากขึ้น

“ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน หากบุหรี่ถูกกฎหมายซึ่งส่วนใหญ่ราคา 60 บาท ต้องขึ้นราคาอีก 6-8 บาท ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว อุดมคติที่ว่าการขึ้นภาษีสูง ๆ จะช่วยดูแลสุขภาพคนไทย และเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐนั้น ในทางปฏิบัติแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป หากคิดจะขึ้นภาษีให้สูง ๆ โดยไม่ได้ประเมินสภาพความเป็นจริงในประเทศอย่างรอบด้าน ก็เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดปัญหาซ้ำรอยปี 2560 ที่ทำให้ ยสท. ต้องแข่งขันอย่างยากลำบาก และยังทำให้บุหรี่ถูกกฎหมายต้องขึ้นราคาอย่างก้าวกระโดด จนบุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง ซึ่งปัญหาบุหรี่เถื่อนนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริงที่นักวิชาการอาจไม่เคยมาสัมผัส แม้ว่า ยสท. เองก็ดำเนินการป้องกันและปราบปรามบุหรี่เถื่อนอย่างแข็งขันและต่อเนื่องด้วยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด แต่ต้องยอมรับว่าบุหรี่เถื่อนเป็นปัญหาหนักขึ้นจริง ๆ โดยเฉพาะในภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน”

นายสุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้กระทรวงการคลังทบทวนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ ที่จะมีผลในวันที่ 1 ต.ค. นี้ โดยต้องมีการพิจารณาให้รอบด้าน เพราะมีบทเรียนจากการปรับฐานภาษีบุหรี่เมื่อปี 2560 บุหรี่ถูกปรับราคา 2 ขา ทั้งด้านปริมาณ และมูลค่า และยังมีภาษีอื่น ๆ ตามมาอีก ทำให้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบไม่เคยออกเรียกร้องจนกระทั้งปี 2560 ที่ได้รับผลกระทบจากการคิดไม่รอบคอบ เพราะฟังเสียงด้านสาธารณสุข แต่ไม่ฟังว่าการปรับภาษีบุหรี่ หรือราคาบุหรี่ให้สูงขึ้นแล้วจะลดปริมาณผู้สูบในประเทศลง เพราะราคาบุหรี่แพง แต่จากปี 2560-2564 พิสูจน์ได้หรือยังว่า สามารถลดปริมาณผู้สูบในประเทศได้จริงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยปัจจุบันคนยังสูบบุหรี่เหมือนเดิม และสูบมากกว่าเดิม เพราะมีบุหรี่ลักลอบผิดกฎหมายที่ราคาถูกกว่า 3-4 ซองในราคา 100 บาท

“อาจมีไอ้โม่งอยู่เบื้องหลังปั่นให้ราคาบุหรี่ถูกปรับจากการขึ้นภาษีให้สูง เพื่อมีแรงดึงดูดใจ หรือช่องว่างของราคาเป็นทางที่ขยายตลาดบุหรี่หนีภาษีให้โตขึ้น ผมระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่คงไม่ใช่ประชาชนคนธรรมดาที่ทำได้ ต้องเป็นผู้เหาะเหิรเดินอากาศถึงจะสามารถทำตรงนี้ได้ และได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ ส่วนจะเป็นใครผมไม่ได้ระบุ ไม่ได้เอ่ยนาม อยากให้กระทรวงการคลังลองดูให้รอบด้าน บทเรียนเคยมีมาแล้ว ไม่อยากให้กระทรวงการคลังไปฟังเสียงกดดันให้มาก” นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่มีการสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกใบยาเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น กัญชง กัญชา ว่า เรื่องนี้ต่างประเทศทำไปหมดแล้ว ถามว่าไทยขยับตัวช้าไปหรือไม่ ตลาดมันถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือยัง และการปลูกพืชชนิดดังกล่าวก็มีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"