22 ก.ย.64 - เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงผลการวิจัยภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยจากการได้รับวัคซีนกระตุ้นเข้าใต้ผิวหนัง ว่า การฉีดวัคซีนมีอยู่ 3 แบบ 1.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2.ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และ3.ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง โดยการฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง จะเป็นการแทงเข็มเข้าชั้นผิวหนัง ซึ่งมีความหนาโดยรวมประมาณ 1 มิลลิเมตร ทำให้มีข้อจำกัดคือมีความยากลำบากกว่าการฉีด 2 วิธีที่กล่าวมา ต้องมีทักษะในการทำพอสมควรถึงจะฉีดได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามเรามีประสบการณ์ในการฉีดเข้าชั้นผิวหนังแล้ว อาทิ วัคซีน BCG วัคซีนพิษสุนัขบ้า ทั้งนี้มีหลายประเทศเริ่มคิดเรื่องนี้ เพราะโดยทั่วไปการฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังซึ่งมีเส้นเลือดมากมายจะใช้จำนวนวัคซีนที่น้อยกว่าถึง 1 ใน 5 ซึ่งถ้าได้ผลเท่ากัน หมายความว่าวัคซีนที่เคยฉีดได้ถึง 1 คน จะสามารถฉีดได้ 5 คน
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า งานวิจัยของเราใช้วัคซีนฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเฉพาะบูสเตอร์โดส คนที่ฉีดซิโนแวคมาแล้ว 2 เข็ม โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อในระยะหลังจากฉีดครบสองเข็มมาแล้ว 4-8 สัปดาห์ แล้ว เราก็นำอาสาสมัครจำนวนหนึ่งมาฉีดวัคซีนเข้าในชั้นผิวหนัง และอีกกรณีคือคนฉีดซิโนแวคนาน 8-12 สัปดาห์ โดยนำอาสาสมัครมาฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง หลังจากนั้นใน 14 วันเราเจาะเลือดมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งเราดู 2 เรื่องคือผลข้างเคียง จะเห็นว่าฉีดเข้าชั้นผิวหนังจะเกิดอาการเฉพาะที่มากกว่าฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ส่วนอาการทั่วไปของร่างกายที่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น ปรากฎว่าน้อยลง เมื่อเทียบกับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และดูเรื่องภูมิคุ้มกัน ซึ่งมี 2 ส่วน คือภูมิคุ้มกันที่อยู่ในน้ำเลือดของคน หรือแอนติบอดี้ และปฏิกิริยาของเซลล์ที่จะช่วยกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกาย โดยภูมิทั่วไปถ้าฉีดซิโนแวค 2 เข็ม แล้วยังไม่ทำอะไรเลย ภูมิจะอยู่ประมาณ 100 แต่ถ้าฉีดเข็มกระตุ้นไม่ว่าจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าชั้นผิวหนัง ภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกัน โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อผู้อยู่ที่ 1,600 ส่วนฉีดเข้าชั้นผิวหนังอยู่ 1,300 ซึ่งใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงประหยัดวัคซีนลงไป ฉีดแค่ 1 ใน 5 ภูมิขึ้นมาค่อนข้างสูง
ส่วนการตอบสนองภูมิคุ้มกันของเซลล์ (T-cell response) ต่อโปรตีนหนามแหลมขอวเชื้อโควิด-19 นั้น ถ้าฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ภูมิของเซลล์จะขึ้นที่ 32 แต่ถ้าฉีดโดยกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้าขึ้นมาที่ 52 และฉีดเข้าชั้นผิวหนังขึ้นมา 52 เช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ต่างกันในการกระตุ้นให้เซลล์มาช่วยกำจัดไวรัส เพราะฉะนั้นภูมิจึงใกล้เคียงกันกับการฉีดแบบเดิม
"เมื่อลองมาสู้กับสายพันธุ์เดลต้า(อินเดีย) ปรากฎว่าได้ผลไม่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการฉีดเข้าชั่นผิวหนังสามารถสู้กับสายพันธุ์เดลต้า ยืนยันว่าถ้าฉีดตอนนี้ก็จัดการเดลต้าได้ดีพอสมควร" นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีข้อจำกัดใน เพราะการฉีดผู้ที่ฉีดต้องพิถีพิถัน เนื่องจากการฉีดจะยาก ถ้าวัคซีนเหลือเฟือ เราก็อาจฉีดแบบเดิมไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเร่งเข็มที่ 3 ให้ครบเร็วๆโดยที่ไม่ต้องเปลืองวัคซีน จึงเป็นทางเลือกที่ดี และผลข้างเคียงบางอย่างน้อยกว่าด้วยซ้ำ
"เรียนว่าขณะนี้เรายังฉีดแบบเดิมคือเข้ากล้ามเนื้อ ยกเว้นในพื้นที่ไหนที่ต้องการประหยัดวัคซีน และมีความพร้อม เรายังไม่ได้นำไปใช้ฉีดเป็นการทั่วไป แต่วันหนึ่งถ้าเราจะเร่งให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมมาก โดยเฉพาะเข็ม 3 ถ้าเราฉีดเข้าชั้นผิวหนังเราก็ใช้แค่ 1 ใน 5 เพราะฉะนั้นก็จะประหยัดวัคซีน และทำให้คนได้เข็ม 3 ครบมากขึ้น เร็วขึ้น โดยสรุปแล้วงานนี้เป็นแค่การเสนอวิธีการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง และบูสเตอร์โดส"นพ.ศุภกิจ กล่าว
ด้านนพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการสถาบันชีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กล่าวว่า ผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดไข้ในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ เราพบ 30% ส่วนที่ฉีดเข้าชั้นผิวหนังพบแค่ 5 % ซึ่งน้อยกว่ามาก ถ้าในอนาคต ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าการฉีดให้คนหมื่นคน เราไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงเฉพาะที่ การฉีดเข้าชั้นผิวหนังจะเป็นทางเลือกที่ดีในแง่ความปลอดภัยด้วย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |