เศรษฐกิจขาขึ้นขยายตัว43.8EECเนื้อหอมจัด


เพิ่มเพื่อน    

โฆษกรัฐบาลเผย ศก.ไทยกำลังเดินหน้า การลงทุนโดยตรงของไทยไตรมาสแรกปี 64 มีมูลค่า 4,012.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูง 43.8% ขณะที่ 3 ปี EEC เดินหน้าลงทุนเป็นรูปธรรม สร้างเงินลงทุนรวม 1.6 ล้านล้านบาท วอนฝ่ายค้านอย่าจ้องทำลายรัฐบาลจนทำบรรยากาศเศรษฐกิจประเทศเสียหาย  
    เมื่อวันที่ 18 กันยายน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจมาถูกทางแล้ว โดยเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกขยายตัวที่ร้อยละ 2.0 และในไตรมาสที่ 2 มีการขยายตัวถึงร้อยละ 7.5 ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในเอเชีย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้
    ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนโดยตรงของไทยยังขยายตัวสูงขึ้น ช่วงไตรมาสแรก ปี 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 4,012.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 43.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงเม็ดเงินลงทุนที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย สัญญาณการจ้างงานเริ่มมีปรับดีขึ้น อัตราการว่างงานล่าสุดปรับตัวลดลงเหลือร้อยละ 1.9 ของกำลังแรงงาน เทียบกับอัตราการว่างงานที่เคยสูงสุดที่ร้อยละ 2.1 เมื่อปีก่อน คาดว่ารายได้ต่อหัวของประชาชนจะอยู่ที่ 232,024.0 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 225,845.7 บาทต่อคนต่อปี จะเห็นว่ารายได้ของประชาชนมีแนวโน้มจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
     นายธนกรกล่าวอีกว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทของภาครัฐที่เดินมาถูกทางแล้ว รวมทั้งมาตรการเยียวยา มาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ จากข้อริเริ่มวิสัยทัศน์ของท่านนายกฯ เช่น โครงการเยียวยาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มาตรการบรรเทาภาระค่าสาธารณูปโภค มาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา มาตรการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และ ม.40 รวมถึงมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และประชาชน อาทิ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) จาก ธ.ออมสิน และ ธปท. ที่ส่งต่อไปยังสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ บรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องสภาพคล่อง มาตรการพักชำระหนี้ ทั้งในส่วนของธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์เอกชน 
    ตลอดจนภาครัฐได้มีการเร่งควบคุมการแพร่ระบาด และมีการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติบางส่วน เช่น ในพื้นที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สมุยพลัสโมเดล และพื้นที่นำร่องอื่นๆ จากปัจจัยต่างๆ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 สามารถขยายตัวเป็นบวกได้ และคาดว่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 
3 ปี EEC ลงทุน 1.6 ล้านล้านบาท 
    โฆษกรัฐบาลยังเผยว่า โครงการ EEC มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เกิดพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2561-มิ.ย.2564 เกิดการลงทุนรวมที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 94 จากเป้าหมายแผน 5 ปี (2561-2565) ของ EEC 1.7 ล้านล้านบาท เร็วกว่าเป้าที่กําหนดไว้ แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 
    1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอกชนร่วมลงทุน (PPP) 4 โครงการหลัก (รถไฟฯ/สนามบินฯ/2 ท่าเรืออุตสาหกรรม) มูลค่ารวม 633,401 ล้านบาท แบ่งเป็น ทุนจากภาคเอกชน 387,018 ล้านบาท (ร้อยละ 61) จากภาครัฐ 196,940 ล้านบาท (ร้อยละ 39) 
    2.การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (จากการออกบัตรส่งเสริม BOI) มูลค่า 878,881 ล้านบาท (โครงการที่ขอยื่นส่งเสริมลงทุน ช่วงปี 2560-มิ.ย.2564 ลงทุนจริงแล้วกว่าร้อยละ 85) 
    และ 3.การลงทุนผ่านงบบูรณาการ EEC มูลค่า 82,000 ล้านบาท สําหรับการลงทุน ช่วงสองไตรมาสแรกของปี 2564 มีเงินลงทุน 126,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 (จากช่วงเดียวกันปี 63) โดยจํานวนขอโครงการสูงสุดคืออุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วน ส่วนเงินลงทุนสูงสุดคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็นร้อยละ 64 ของคําขอลงทุนใน EEC ซึ่งนักลงทุนที่สนใจมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ตามลําดับ
    โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยังมีการเตรียมพัฒนาพื้นที่ EECd เป็นเมืองดิจิทัลแห่งภูมิภาคดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่ EEC โดยตั้งเป้าให้ EECd เป็นเมืองดิจิทัลระดับโลก ขณะเดียวกัน จัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) โดยมีการดำเนินการจัดทําห้องเย็นเทคโนโลยีทันสมัย พัฒนาคุณภาพผลผลิตในระดับพรีเมียม มุ่งเป้า 5 คลัสเตอร์สําคัญ ได้แก่ ผลไม้ ประมงเพาะเลี้ยง พืชอุตสาหกรรมชีวภาพ พืชสมุนไพร และเกษตรมูลค่าสูง เพื่อยกระดับรายได้ให้ชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อพัฒนาเชิงคุณภาพ ทําให้เกษตรกร ชุมชน คนรุ่นใหม่มีคุณภาพชีวิตและรายได้ดีขึ้น
    นายธนากรกล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ EEC ให้เป็นหนึ่งใน “ผลงานหลัก” (Flagship) ของรัฐบาล ผลักดันการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศให้เกิดขึ้นจริง ด้วยปริมาณและมูลค่าเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยแผนการลงทุนที่รอบด้านกว่าในอดีต เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่และทันสมัยที่สุด เพื่อดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตด้วย
    "จึงอยากวิงวอนนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านที่พยายามวิเคราะห์เศรษฐกิจ อย่าหลงประเด็น สร้างความสับสนว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้มีความย่ำแย่ จนทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจประเทศเสียหาย ในขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังเดินหน้าพลิกโฉมประเทศ ให้ประเทศและประชาชนมีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน" โฆษกรัฐบาลกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"