ทางออก-ทางไป-และทางรอด


เพิ่มเพื่อน    

                                                                                                                                              (1)

            ในบรรดา วิกฤต ที่เกิดขึ้นในโลกเราช่วงระหว่างนี้...ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ ความเป็นไปของสภาวะอากาศ ปัญหาความขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำบริโภค ไปจนถึงการขาดแคลนอาหาร ฯลฯ เอาไป-เอามาแล้ว...น่าจะไม่หนักหนา สาหัส เท่ากับ วิกฤตทางปัญญา ที่ดูจะทำให้โอกาสหาทางออก ทางไป ในแต่ละเรื่องแต่ละอย่าง แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย...

                                                                                                                                                          (2)

            คือวิกฤตที่ว่า...ต้องถือเป็นเรื่องจริงไม่ได้อิงนิยายอยู่แล้วแน่ๆ!!! อย่างน้อยก็มีหลักฐานอ้างอิง มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รองรับเอาไว้อย่างเป็นมั่น เป็นเหมาะ อย่างที่เคยหยิบมาอ้างอิงเอาไว้บ่อยๆ นั่นคือ...ผลงานการค้นคว้าวิจัยของอภิมหานักวิทยาศาสตร์ระดับเคยได้รับรางวัล National Academy of Sciences มาแล้วในปี ค.ศ.1997 ผู้มีนามกรว่า ดร. Gerald Crabtree แห่งมหาวิทยาลัย Stanford University School of Medicine ว่าด้วยเรื่อง Our fragile intellect หรือ ความบอบบางทางสติ-ปัญญาของเรา มาตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 โน่นเลย ที่ชี้ให้เห็นถึง ความเสื่อม ในทางสมองระดับลึกลงไปถึงยีน ถึงดีเอ็นเอ ไปจนถึง ความไม่มั่นคง ทางอารมณ์-ความรู้สึกของผู้คน ที่มีแต่จะออกไปทาง สมองหมา-ปัญญาควาย หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

                                                                                                                                                          (3)

            ใครสนใจรายละเอียด ตื้น-ลึก-หนา-บาง ในเรื่องทำนองนี้...คงต้องลองไปตามหาหนังเรื่อง สู่คลื่นลูกที่ 4 หลังจากเทคโนโลยีเปลี่ยนคนให้เป็นควาย ที่ อันตัวข้าพเจ้าเอง ได้พยายามเรียบเรียง รจนา รวบรวมและค้นคว้าบรรดาข้อมูลและข้อพิสูจน์ต่างๆ ของนักคิด นักวิทยาศาสตร์ และนักอะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย เอามาไว้ในข้อเขียนของหนังสือเล่มนี้ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...เขียนไป พิมพ์ไป ก็หาใครคิดหยิบมาอ่านแทบไม่เจอ อะไรที่พูดไปแล้ว เขียนไปแล้ว มันก็เลยแทบไม่ได้ก่อให้เกิด ปฏิกิริยา ใดๆ ต่อผู้คนในแวดวงต่างๆ มากมายซักเท่าไหร่...

                                                                                                                                              (4)

            ดังนั้น...ไม่ว่าใครก็เถอะ!!! เมื่อต้องเจอกับ ความเสื่อม หรือ ความไม่มั่นคงทางอารมณ์-ความรู้สึก และ ความอ่อนแอทางสติ-ปัญญา ของผู้คนมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะแก้ไข แก้ปัญหา ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ไปจนถึงระดับ วิกฤต ต่างๆ ให้พอคลี่คลาย พอทุเลาเบาบางลงไปได้มั่ง หรือพอให้เกิดทางออก ทางไป จึงย่อมมิใช่เรื่องง่ายๆ โดยเด็ดขาด โอกาสที่จะออกอาการพัลวัน-พัลเก ชุลมุน สับสน วุ่นวาย ระส่ำระสาย จนผู้ที่คิดจะแก้ เพียรพยายามที่จะแก้ อาจต้องกลายสภาพเป็น ลิงแก้แห เอาได้ง่ายๆ หรือยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้ยิ่งชุลมุนวุ่นวาย โดยเฉพาะถ้าต้องอาศัยความเห็นพ้อง เห็นชอบ ของบรรดาผู้คนโดยส่วนใหญ่ด้วยแล้ว โอกาสที่ต้อง ยุ่งฉิบหาย หรือ ยุ่ง...ตายห่ะ แบบที่อดีตประธานรัฐสภา โคว้ตงหมง เคยอุทานเอาไว้เมื่อหลายต่อหลายสิบปีที่แล้ว ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปทุกที...

                                                                                                                                              (5)

            เหมือนอย่างความพยายาม แก้วิฤตโรคระบาด อันเนื่องมาจากท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆ ทุกวันนี้...ที่เล่นเอาไม่ว่ารัฐบาลไหนต่อรัฐบาลไหน แทบ ไปไม่เป็น ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าพยายามไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ไล่ฉีด วัคซีน ชนิดเข็มแล้ว เข็มเล่า แต่สุดท้าย...ก็ยังไม่อาจก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังได้เลย แถมยิ่งคิดจะควบคุม-บังคับ ก็กลับยิ่งต้องเจอกับแรงต่อต้าน คัดค้าน ระดับผู้คน ลงถนน เป็นแสนๆ คนเอาเลยก็ยังมี ส่งผลให้ความพยายาม แก้ปัญหา ต่อ ผลกระทบ ที่กำลังตามมา นั่นคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ยิ่งแทบ เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย เลยหนีไม่พ้นต้อง อยู่ๆ กันไป แบบแทบไม่รู้อนาคต ว่าจะ เดินหน้า กันไปในแบบไหน อย่างไร ไปสู่นรกหรือสวรรค์ ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด...

                                                                                                                                             (6)

            ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาผู้ที่ถนัดและเชี่ยวชาญในการควบคุมและบังคับผู้คน หรือพวก เผด็จการ ทั้งหลาย จึงออกจะได้เปรียบ ต่อการทำให้สังคมทั้งสังคม ซึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้ความเสื่อมโทรมทางสติ-ปัญญา และเต็มไปด้วยความไม่มั่นคงทางอารมณ์-ความรู้สึกหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สามารถเป็นไปใน ทิศทาง ดังที่ปรารถนาและต้องการ ได้มากกว่าผู้ที่ต้องเสียเวลาเงี่ยหูฟังความคิด ความเห็น การชี้แนะ ชี้นำ ของใครต่อใคร ที่อยากให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเองเก่ง ตัวเองฉลาด ตัวเองเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละเรื่องหรือแทบทุกๆ เรื่องไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือต่างก็มีขีดความสามารถที่จะยกระดับตัวเองขึ้นเป็น ซัมบอดี้ ไปด้วยกันนั้น โดยเฉพาะเมื่อมีอุปกรณ์ เครื่องมือ มี เทคโนโลยี ที่ก้าวล้ำ นำสมัย อยู่ในมือกันคนละแท่ง สองแท่ง ด้าม-สองด้าม ยิ่งมีโอกาสเพิ่มบทบาท อิทธิพล ต่อบรรดาพวก สมองหมา-ปัญญาควาย หนักยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

                                                                                                                                             (7)

            อภิมหานักวิทยาศาสตร์ อย่าง ดร. Gerald Crabtree ท่านเลยเห็นของท่านว่า...มีแต่จะต้องหันไปเอา ข้อมูล และ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เท่านั้น มาใช้เป็นตัวกำหนดพื้นฐานความเป็นไปของระบบต่างๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้องไปกับสภาพสังคมแบบใหม่ ไม่ใช่ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ หรือ หลักคิด-หลักปรัชญา แบบเดิมๆ อีกต่อไป ไม่งั้นโอกาสที่จะเกิดอาการ เอาไม่อยู่ ภายในสังคมนั้นๆ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า...ท่านชักเห็นว่ามีแต่จะต้องหันไป เผด็จการ กันอย่างเป็นจริง-เป็นจัง อย่างเป็นระบบ โดยอาศัย ธรรมะ หรือ ศีลธรรม เป็นเครื่องยึดมั่นเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสนำไปสู่ ทางรอด ได้มั่ง หรือ... “เราต้องเริ่มต้นเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการยอมรับความจริงที่ว่า...ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กำลังบอกกับเราว่า วิธีที่ดีสุดในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ คือการอาศัยศีลธรรม หรือการฟื้นฟูความดีงามในหมู่มนุษย์ให้กลับคืนขึ้นมาให้จงได้ นั่นแหละคือทางออกที่ดีที่สุด..." จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ อยู่ว่างๆ ก็ลองไปนั่งคิด นอนคิด กันเอาเองก็แล้วกัน... 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"