'SCB EIC' หั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 0.7% แนะกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท


เพิ่มเพื่อน    

 

15 ก.ย. 2564 นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)กล่าวว่า ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี2564 เหลือ 0.7% จากเดิมที่ 0.9% จากผลการระบาดของโควิด-19 ในประเทศระลอกที่สามที่รุนแรงและยืดเยื้อ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่าคาด โดยได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเหลือ 1.7 แสนคน จากเดิมคาด 3 แสนคนจากความกังวลของสถานการณ์ระบาดในประเทศโดย คาดว่าสถานการณ์จะทยอยปรับดีขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 4/2564จากอัตราการฉีดวัคซีนครบโดสของประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ

ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในปีนี้ จะขยายตัวได้ 15% โดยการส่งออกยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมีทิศทางชะลอลงบ้างทั้งจากฐานที่ปรับสูงขึ้น และผลกระทบของการระบาดสายพันธุ์เดลตาทั่วโลกที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและเกิด Supply disruption ในหลายห่วงโซ่การผลิตของภาคอุตสาหกรรมของไทยและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน

นายยรรยง กล่าวว่า ในส่วนของภาครัฐ ยังมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทั้งจากการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาครัฐ รวมถึงมาตรการพยุงเศรษฐกิจหลายประเภท ส่วนมาตรการที่ออกมาล่าสุดยังไม่เพียงพอทั้งในมิติเชิงพื้นที่ ระยะเวลา และจำนวนเงิน โดย EIC คาดว่าภาครัฐจะออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ โดยจะเป็นการใช้เม็ดเงินในส่วนที่เหลือจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านบาท จาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

"มาตรการภาครัฐที่ช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และภาคธุรกิจในช่วงการระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรงในรอบที่ 3 นี้ หากเทียบแล้วยังใช้เม็ดเงินน้อยกว่าช่วงการระบาดรอบแรก และรอบสอง ยังมีช่องว่างที่ภาครัฐจะใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ โดย พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะนำมาใช้ในปีนี้ 2 แสนล้านบาท และที่เหลือปีหน้าอีก 3 แสนล้านบาทนั้น ไม่ตอบโจทย์เพียงพอสำหรับการเยียวยา ฟื้นฟู และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ" นายยรรยง กล่าว

นายยรรยง กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.7% ได้ หากการระบาดโควิด-19 กลับมารุนแรงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/2564จนทำให้รัฐบาลต้องกลับไปใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้ หากการใช้จ่ายของภาครัฐตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทในปีนี้ทำได้น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสหดตัว -0.5% ได้
ทั้งนี้คาดว่ากว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปอยู่เท่ากับปี 2562 จะต้องรอถึงช่วงกลางปี 2566 ดังนั้น ภาครัฐจึงควรพิจารณากู้เงินเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยแม้ระดับหนี้สาธารณะจะปรับสูงขึ้นกว่าเพดานหนี้ที่ 60% ต่อจีดีพีแต่ยังอยู่ในวิสัยที่ภาครัฐจะสามารถบริหารจัดการได้ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ และสภาพคล่องในประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยภาครัฐต้องสื่อสารถึงแผนการลดระดับหนี้ในระยะปานกลางที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพการคลัง

"รัฐบาลอาจมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติมได้อีก 5 แสนล้านบาท -1 ล้านล้านบาท เพื่อมาใช้เยียวยา ฟื้นฟู และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งการกู้เงินเพิ่มในระดับดังกล่าว อาจทำให้หนี้สาธารณะขึ้นไปที่ 69% สูงกว่าเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60% ต่อจีดีพี แต่มองว่าผลลัพธ์ที่ได้น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า" นายยรรยง กล่าว

สำหรับนโยบายการเงิน คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี 2564 และ 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้น้ำหนักกับการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านนโยบายการเงินผ่านมาตรการทางการเงินต่าง ๆ เพื่อกระจายสภาพคล่องไปยังภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเอสเอ็มอีให้มากขึ้น ควบคู่กับการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินให้สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งพิจารณาเข้าดูแลอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินหากเกิดความผันผวนตามภาวะการเงินโลกที่อาจตึงตัวขึ้น แต่ก็ยังยังมีโอกาส 20-30% ที่กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ โดยขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดโควิด และอัตราการฉีดวัคซีนที่อาจล่าช้ากว่า คาดจนทำให้เศรษฐกิจกลับมาหดตัวอีกครั้ง

ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะเติบโตได้ที่ 3.4% จากการฟื้นตัวจากทั้งอุปสงค์ภายในและนอกประเทศ ตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น โดยอัตราการฉีดวัคซีนที่มากขึ้นทั่วโลกในปีหน้าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร่งขึ้นจากปีก่อน ซึ่งทำให้การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงมาที่ 4.7% ขณะที่ภาคท่องเที่ยวระหว่างประเทศก็มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นเป็น 6.3 ล้านคน

“แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปี 2565 แต่ก็จะเป็นการฟื้นตัวแบบช้า ๆ เนื่องจากผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญ 3 ตัว คือ 1.แผลเป็นในภาคธุรกิจ 2.แผลเป็นในตลาดแรงงาน และ 3.แผลเป็นจากหนี้สิน โดยแผลเป็นในภาคธุรกิจ ที่การเปิดกิจการยังมีการหดตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กิจการที่เปิดใหม่มีขนาดเล็กและอยู่ในสาขาที่ลงทุนน้อยกว่า ขณะที่อัตราการว่างงานช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่ราว 1.9% เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากในช่วงก่อนโควิด-19 โดยสภาวะตลาดแรงงานที่ซบเซานี้ จะบั่นทอนความสามารถของภาคครัวเรือนในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้ ซึ่งยังเป็นหนึ่งในภาระหนักของภาคครัวเรือนไทยต่อเนื่องในระยะปานกลาง” นายยรรยง กล่าว


 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"