สิงคโปร์เพิ่งประกาศยอมรับว่าตัวเลขคนติดเชื้อโควิดกลับมาพุ่งอย่างน่ากลัว...แม้ว่าประชากรประมาณ 81% ได้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วก็ตาม
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลแถลงข่าวว่าตัวเลขคนติดเชื้อที่เพิ่มเป็นวันละ 76 รายมาเป็น 288 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา
กระทรวงสาธารณสุขของเขาประเมินว่าจำนวนคนติดเชื้อรายวันอาจจะพุ่งไปที่วันละ 1,000 ในเร็วๆ นี้
อีกทั้งยังจะต้องเร่งตรวจหาเชื้อเชิงรุกอย่างเข้มข้นอีกรอบ
ถามว่าคำแถลงอย่างนี้แปลว่ารัฐบาลสิงคโปร์กำลังคิดจะยกเลิกแผนการที่จะเปิดเศรษฐกิจอย่างที่เคยแถลงเอาไว้ใช่หรือไม่
รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมกันคิมยองยอมรับว่า “เราต้องคาดหวังว่าบนเส้นทางการฟื้นคืนสู่ภาวะปกตินั้น เราอาจจะต้องเจอกับสภาพเลี้ยวลดคดเคี้ยวบ้างเป็นธรรมดา”
รัฐมนตรีคลังลอเรนซ์ หว่อง เพิ่งออกมาเรียกร้องให้คนสิงคโปร์ลดกิจกรรมสังคมที่ไม่จำเป็นในสองสัปดาห์ข้างหน้า ท่ามกลางสัญญาณว่าตัวเลขคนติดเชื้อกลับมาสูงอีกครั้ง
แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เตรียมจะลดจำนวนวันกักตัว (quanrantine) จาก 14 วันเหลือ 10 วันตั้งแต่สัปดาห์นี้ เพราะสายพันธุ์เดลตามีช่วงเวลาฟักตัวสั้นลง
อีกมาตรการหนึ่งคือให้คนป่วยที่ได้วัคซีนครบโดสแล้วกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านตั้งแต่ 15 กันยายนนี้
รัฐมนตรีสาธารณสุขอ่อง เย กุง บอกว่า ประสบการณ์ของประเทศอื่นชี้ว่าคลื่นการแพร่ระบาดมักจะใช้เวล 4-8 สัปดาห์ก่อนที่จะพุ่งไปถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะเริ่มลดลง
สิงคโปร์อยู่ในคลื่นระบาดปัจจุบัน 18 วันแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้ที่ยอดคนติดเชื้ออาจจะกระโดดไปที่ 3,000 รายต่อวันก่อนที่จะเริ่มเป็นขาลง
“แต่ตัวเลขจริงๆ จะไปทิศทางไหนอยู่ที่คนสิงคโปร์จะปฏิบัติตนอย่างไร รวมถึงว่าจะสามารถตรวจค้นหาเชื้อเชิงรุกอย่างจริงจังได้หรือไม่...”
จุดยืนของรัฐบาลสิงคโปร์วันนี้คือจะไม่กลับไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ (ที่นั่นเรียก Circuit Breaker หรือมาตรการตัดวงจร) แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนให้เปิดประเทศมากกว่าที่ทำอยู่วันนี้
นั่นแปลว่าสิงคโปร์กำลังกลับมาตั้งหลักที่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่อีกรอบ
จนถึงวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของสิงคโปร์อยู่ที่ 69,582 ราย เสียชีวิตสะสม 56 คน
ก่อนหน้านี้สิงคโปร์เป็นประเทศต้นๆ ที่ผลักดันนโยบายเชิงรุก "โควิดเป็นศูนย์" ด้วยมาตรการเข้มข้น เช่น ปิดร้านอาหาร ปิดพรมแดน และบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
พอถึงเดือนมิถุนายน รัฐบาลแถลงแผนเดินหน้าสู่ “ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับไวรัส”
นั่นหมายถึงมาตรการพยายามควบคุมการแพร่ระบาดด้วยวัคซีน และคอยเฝ้าระวังอัตราผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แทนการกำหนดมาตรการเข้มข้นที่จำกัดวิถีชีวิตของพลเมือง
คำขวัญในช่วงนั้นสำหรับคนสิงคโปร์คือ
"ข่าวร้ายคือโควิด-19 อาจไม่มีวันหายไป ข่าวดีคือมีความเป็นไปได้ที่เราจะใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับมันได้"
สิงคโปร์มีความภูมิใจที่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงที่สุดในโลก
ความจริงตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สิงคโปร์เริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดสกัดโควิด-19 บางอย่าง
เช่นอนุญาตให้คนฉีดวัคซีนครบโดสแล้วออกไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้าน และรวมกลุ่มกันได้ไม่เกิน 5 คน จากเดิมที่จำกัดแค่ 2 คน
แต่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ทำให้มาตรการเปิดเศรษฐกิจเพิ่มเติมต้องสะดุดลง
จึงกลับมาใช้มาตรการเข้มข้นขึ้นอีกด้วยการบังคับตรวจเชื้อแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้น เป็น 1 ครั้งต่อสัปดาห์จากเดิม 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง
อีกทั้งยังขยายบัญชีแรงงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้คำสั่งบังคับตรวจเชื้อ
ด้วยการนับรวมพนักงานห้างค้าปลีก ธุรกิจจัดส่งสินค้าและเจ้าหน้าที่ระบบขนส่งสาธารณะเข้าไปด้วย
รัฐบาลยอมรับว่าแม้จะทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังพบผู้ติดเชื้ออาการหนักในห้องไอซียูที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก
“เมื่อถึงเวลาเราก็อาจไม่มีทางเลือกอื่น ยกเว้นจะต้องยกระดับความเข้มข้นของมาตรการ...” แถลงการณ์ของรัฐบาลบอก
กรณีศึกษาของสิงคโปร์ตอกย้ำอีกครั้งว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตานี่สามารถสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งโลกจริงๆ
มาตรการอะไรที่เคยคิดว่าสามารถจัดการมันได้ เอาเข้าจริงๆ ก็ยังต้องวิ่งไล่ตามกันอย่างจ้าละหวั่นทีเดียว
ไทยเราก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |