ก่อนที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะถูกปลดจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ ต้องถือว่าชีวิตของนายทหารนอกราชการผู้นี้พลิกผันเฉียดคุกมาหลายรอบ จากในอดีตที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาหลายคดี แต่ก็ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมจนหลุดพ้นมาได้ จนวันนี้ได้ขึ้นมาเป็น “เสนาบดี” ในยุค 3 ป. นับได้ว่าเดินมาได้ไกลเกินคาด
นับแต่ก้าวออกจากชีวิตรับราชการกลายเป็นตำนาน “18 อรหันต์” จากรั้วกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน 4 รอ.) ยุคเริ่มแรกที่จัดหน่วยแยกเป็น “ทหารมหาดเล็ก” สังกัดหน่วยบัญชาการถวายการรักษาความปลอดภัยในโครงการเก่า ช่วง “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คุมกองทัพบก
จนเข้ามาเดินในยุทธจักร “เสธ.” ผู้กว้างขวาง ทำธุรกิจหลากหลาย มีชื่อในร่มเงาของ “เสธ.แอ๊ว” พล.อ.อัครเดช ศศิประภา และมาอยู่กับ “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต มาตลอด สร้างต้นทุนด้วยการจับมือเป็นมิตรกับทุกวงการ
“ผมมาสนิทกับพี่ไอซ์ ตอนสมัยเป็นวัยรุ่นอายุ 20 กว่าๆ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อก่อนซีกซ้ายคือพี่ไอซ์ แต่ถ้าด้านขวาของถนนคือผม พี่เขาให้ความอุปการะผมไว้หลายเรื่องตอนที่ผมลำบาก สำหรับผมในสายตาของพี่ๆ ทั้งหลายคือคนนอบน้อม ทำให้ส่วนใหญ่ พี่ๆ ก็จะรัก แต่เวลาปฏิบัติการข้างนอกแล้วเราเป็นคนดุดัน เวลาอยู่กับสังคมพี่น้องแล้วเราเป็นคนให้เกียรติคน ทำให้ทั้งพี่แอ๊ว และพี่ไอซ์ก็จะรักผม เมื่อก่อนก็อยู่กับพี่แอ๊ว แต่พอพี่เขาเกษียณอายุราชการไป ผมก็มาอยู่กับพี่ไอซ์ ตลอดเวลาพี่แอ๊วกับพี่ไอซ์ก็รักผม” ร.อ.ธรรมนัสเคยให้สัมภาษณ์แทบลอยด์ ไทยโพสต์ ไว้เมื่อช่วงปี 2557
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น เขาบอกว่า แม้จะออกจากราชการแล้ว แต่ก็ยังผูกพันกับพี่น้องโรงเรียนเตรียมทหาร ทั้งทหารและตำรวจ อย่างเพื่อนร่วมรุ่น ตท.25 ที่สนิทสนมคือ พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม นายหิมาลัย ผิวพรรณ พล.ต.ท.อัคเดช พิมลศรี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ และถึงวันนี้จะกลับไปรับราชการไม่ได้แล้ว เพราะบุคลิกเป็นคนตรง จึงไม่น่าจะเติบโตในระบบราชการ เพราะระบบนี้มีกรอบให้อยู่ในระเบียบวินัย ให้อยู่ในสายบังคับบัญชา ซึ่งตัวเขาเองไม่ค่อยชอบ
“อย่างหิมาลัย เขาอยู่ในกลุ่มคนเรียบร้อย แต่เรียนเก่ง ส่วนเปา (ชื่อเล่น พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม) ตอนเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร.ก็สนิทกัน นอนห้องเดียวกัน ผมโตในครอบครัวของเปา ตอนเรียนนักเรียนนายร้อยมาอยู่กรุงเทพฯ ผมไปนอนบ้านเขา น้องชายผมก็ทำงานอยู่กับพ่อของร่มเกล้า ทำให้ครอบครัวร่มเกล้ากับผมสนิทกันมาก พ่อของร่มเกล้าเขาเป็นคนเหนือเหมือนกับผม พ่อเป็นคนเชียงราย ส่วนแม่เป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่เรียนเตรียมทหาร ผมก็จะไปบ้านร่มเกล้าตลอด พ่อแม่ก็คอยดูแลเราตลอด”
แม้จะเป็นทหารสาย “วงษ์เทวัญ” แต่เพื่อนทหารรุ่นเดียวที่สนิทกันต่างเป็น “ทหารเสือราชินี” ทั้งพลเอกร่มเกล้า ผู้ล่วงลับ และ เสธ.หิ โดยทั้งคู่ต่างเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และก็คุ้นเคยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมานานแล้ว
“ตอนที่ถูกอายัดเงินตอนปี 2557 ค่อนข้างลำบาก เพราะทำธุรกิจหลายอย่าง บางอย่างต้องใช้เงินสดในการบริหาร ก็ต้องไปขออนุญาต ศอฉ.ทุกเรื่อง แค่เงินเดือนพนักงาน รปภ.ของบริษัทที่มีอยู่พันกว่าชีวิตก็ลำบากแล้ว ผมก็เลยไปพบพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมในเวลานั้นด้วยตัวเองเพื่อบอกปัญหา ซึ่งพี่ป้อมก็ถือเป็นนายทหารที่ผมนับถือ เพราะผมชอบเข้าสังคม เป็นมนุษย์สังคม ครั้งหนึ่งผมก็เคยช่วยพรรคพวกของท่าน (พลเอกประวิตร) ซึ่งมันเป็นอะไรที่เป็นบุญคุณอุปถัมภ์กันมา” ร.อ.ธรรมนัสเล่าให้ฟังเมื่อปี 2557
ถึงจะลำบาก แต่เขาเป็น 1 ใน 3 ชื่อแรกที่ถูกปลดจากบัญชีดำของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ร่วมกับ “เอกราช ช่างเหลา” และ “สุริยะ รุ่งเรืองกิจ” เนื่องจาก ปปง.เปิดโอกาสให้เข้ามาชี้แจงที่มาที่ไปของเงิน ซึ่งครั้งนั้นมีผู้ถูกขึ้นบัญชีนับ 100 กว่ารายที่ถูกมองเป็นท่อน้ำเลี้ยงม็อบเสื้อแดง
ท่ามกลางข่าวสะพัดว่า ทั้ง 3 รายมี “บิ๊กสีเขียว” และ “อดีตนักการเมือง” เจรจาเพื่อขอเข้าให้ข้อมูลเคลียร์บัญชีปมหนุนม็อบ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบุญคุณ และดึง “มือทำงาน” ของฝ่ายตรงข้ามมาไว้ใกล้ตัว 3 ป.
จากนั้น “ธรรมนัส” จึงพลิกขั้ว จับมือกับ “พรรคพลังประชารัฐ” และใช้เวลาไม่กี่ปี สะสมบารมี อำนาจ สร้างโมเดล “ส.ส.แบ็กแพ็ก” ดีดลูกคิดคำนวณมือในสภาฯ ก่อร่างสร้าง “ซุ้มผู้กอง” จนตัวเองกลายเป็น รมต.ที่ได้รับเสียงไว้วางใจมากกว่านายกฯ ในการอภิปรายครั้งที่แล้ว นำไปสู่การเติบโตของ “ซุ้มใหม่” ที่กำลังคิดการใหญ่ ออกแบบการเมืองนอกเงื่อนไขนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ หวังทลาย 3 ป. ดึง 1 ลุงไปเป็นหุ่นเชิด โดยมีตัวเองเป็น “นายกฯ น้อย” คุมทุกองคาพยพ
ขณะที่ “ผู้กองฯ” มองการเมืองในภาพใหญ่ ต้องการสลาย 3 ป. ไม่เอา “ป.ประยุทธ์-ป.ป๊อก (อนุพงษ์)” ที่มองว่าใช้เป็น “ตัวขาย” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้ เพราะประชาชนไม่เอาแล้ว หวังเปลี่ยนขั้วทางการเมืองใหม่โดดเดี่ยว “พรรคส้ม” ที่มุ่งปฏิรูปสถาบัน อันเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำ แต่ในที่สุดแผนก็ “พังครืน” เมื่อถูกเปิดโปงว่ามีการไปจับมือฝ่ายตรงข้าม ตามอักษรย่อที่ “เสกสกล อัตถากร” ใบ้ไว้ว่า ท.ต่างแดน, เจ๊ จ.ภาคเหนือ อ. และ พ.พรรคเล็ก รวมถึง อดีต รมต.ต. ทำม็อบ มีเป้าหมายหวังโค่น “นายกฯ”
จนในที่สุด “บิ๊กตู่” ต้องใช้ “ยาแรง” เบรกความร้อนแรงของ “ผู้กองฯ” ด้วยการปลดออกจากตำแหน่ง รมต.ด้วย ม.171 ไว้ก่อน
แต่คาดว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ และไม่สามารถหยุดการก้าวเดินของ “ธรรมนัส” ในเส้นทางการเมืองได้ตลอดไป เพราะชีวิตที่สุดแสนพิสดารของเขาเดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปอยู่ “มุมมืด” ได้อีกแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |