"บิ๊กตู่" เร่งหาวัคซีนเหมาะสมฉีดให้นักเรียนกลับมาเปิดเทอม ย้ำทุกอย่างต้องฟังหมอ "ศบค." แย้มแผนจัดสรรวัคซีน 24 ล้านโดสช่วง 27 ก.ย.-31 ต.ค.ครอบคลุม 5 กลุ่ม ชี้ฉีดเด็กอายุ 12-17 ปี ผู้ปกครองต้องยินยอมก่อน พร้อมไฟเขียวชง ครม.ของบซื้อแอสตร้าฯ 4 แสนโดสจากสเปน "หมอยง" ย้ำวัคซีนในเด็กต้องมีความปลอดภัยสูงมากจึงจะคุ้มค่า
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงงานตามโครงการ “Factory Sandbox” จังหวัดนนทบุรี ของบริษัท เอส.บี.อุตสาหกรรมเครื่องเรือน จำกัด อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงวัคซีนที่จะฉีดให้เด็กนักเรียนว่า กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะฉีดวัคซีนชนิดใด ก็ต้องฟังหมออายุต่ำกว่า 18 ปีจะเริ่มจากตรงไหน
"วันนี้เด็กๆ จะเปิดเทอม ขณะที่ต่างประเทศก็มีปัญหา และวันนี้คนก็ไปด้อยค่าวัคซีน จึงต้องดูที่ความสมัครใจ เพราะตอนนี้เป็นเรื่องของวัคซีนฉุกเฉิน แต่นายกฯ จะพยายามทำให้ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ถามว่า การด้อยค่าวัคซีนมีผลต่อการบริหารวัคซีนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าไม่มีปัญหา ตนบอกแล้ววัคซีนทำเพื่ออะไร เพื่อบรรเทาการเจ็บป่วย ลดอัตราการเสียชีวิตใช่หรือไม่ ถ้าไม่ทำอะไรเลยมันก็มีโอกาสทั้งสิ้น
จากนั้นช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ผ่านระบบการประชุมทางไกล
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมว่า ในการประชุมนายกฯ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญในการดูแลเด็กนักเรียน โดย ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปืภายในเดือน ต.ค. แต่ก็จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง โดยยึดหลักและคำแนะนำทางการแพทย์ ครอบคลุมทั้งนักเรียน ครูและเจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างโรงเรียนปลอดภัย รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับกลุ่มคนที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนว่า การฉีดวัคซีนสามารถลดอาการเจ็บป่วยและลดการเสียชีวิต
"ที่ประชุมเห็นชอบเป้าหมายให้บริการวัคซีนโควิด-19 ในเดือน ต.ค.นี้ ให้ครอบคลุมประชากรทั้งหมดอย่างน้อยร้อยละ 50 ทุกจังหวัด ขยายกลุ่มอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน และวางแผนให้เข็มกระตุ้นในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคที่ครบ 2 เข็มในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมา" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
ซื้อแอสตร้าฯ สเปน 4 แสนโดส
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวถึงแผนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของไทยในปี 2564 คาดว่าจะมีวัคซีนเข้ามาในประเทศ 152.9 ล้านโดส โดยเป็นการเพิ่มเติมวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าและไฟเซอร์ โดย ศบค.เห็นชอบแผนการจัดสรรวัคซีน 24 ล้านโดส แยกตามกลุ่มเป้าหมายระหว่างวันที่ 27 ก.ย.-31 ต.ค. คือ 1.ฉีดให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 16.8 ล้านโดส 2.นักเรียนที่มีอายุ 12-17 ปีทั่วประเทศ จำนวน 4.8 ล้านโดส 3.แรงงานในระบบประกันสังคม จำนวน 0.8 ล้านโดส 4.หน่วยงานอื่นๆ เช่น องค์กรภาครัฐ ราชทัณฑ์ จำนวน 1.1 ล้านโดส และ 5.กลุ่มที่ได้รับซิโนแวค 2 เข็ม และต้องการเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 0.5 โดส
"ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการฉีดวัคซีนให้กลุ่มที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยใช้สถานศึกษาเป็นจุดฉีดวัคซีนและใช้สูตรการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม คาดว่ากรมควบคุมโรคจะจัดส่งวัคซีนและอุปกรณ์การฉีดได้ในช่วงเดือน ต.ค.64" นพ.ทวีศิลป์กล่าว
โฆษก ศบค.กล่าวว่า สำหรับยอดผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 ก.ย. มีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม 698,621 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 38,873,359 โดส อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการฉีดวัคซีนในภูมิภาคอาเซียนถึงวันที่ 8 ก.ย. พบว่าประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 37,461,284 โดส ถือเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน ตามหลังเพียงอินโดนีเซียที่ฉีดไปแล้ว 108,916,110 โดส แต่ถ้าเทียบจำนวนประชากรประเทศไทยฉีดไปเป็นอันดับ 5 รองลงมาจากสิงคโปร์, กัมพูชา, มาเลเซีย และบรูไน
มีรายงานว่า ในการประชุม ศบค.ได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการเจรจาจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากสหภาพยุโรป (อียู) โดยกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า ประเทศสเปนมีวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าจำนวน 449,500 โดส พร้อมขายต่อ ซึ่งวัคซีนดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 ต.ค.64 และทางการสเปนสามารถส่งมอบวัคซีนทั้งหมดภายในสิ้นเดือน ก.ย.64 ราคาวัคซีน 2.90 ยูโรต่อโดส รวมเป็นจำนวนเงิน 1,303,550 ยูโร หรือประมาณ 50,447,385 ล้านบาท ทั้งนี้ต้องจ่ายค่าวัคซีนภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้จากผู้ขาย ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดซื้อดังกล่าว และมอบหมายให้ สธ.ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินสำหรับการซื้อวัคซีนดังกล่าวต่อจากสเปน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเรื่องแนวทางการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ชาวกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้วและตราด ซึ่งเป็นกรณีที่รัฐบาลกัมพูชาได้ประสานงานขออนุญาตจัดส่งวัคซีนยี่ห้อซิโนฟาร์มจากกัมพูชาเข้ามาในไทย พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยนำวัคซีนดังกล่าวไปฉีดให้แก่ชาวกัมพูชาใน 2 จังหวัดนี้ที่มีจำนวนรวมกันประมาณ 14,000 คน ทั้งนี้ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยและ สธ.ดำเนินการ
วัคซีนเด็กต้องปลอดภัยสูง
ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องโควิด-19 การให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็ก ระบุว่า "ทุกคนควรได้รับวัคซีน แต่ปัญหาโรคโควิด-19 มีความรุนแรงในผู้สูงอายุหรือกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เด็กถึงแม้จะเป็นโควิดจะมีอาการน้อย โอกาสเป็นปอดบวมน้อยมาก และยิ่งน้อยมากๆ ที่จะเสียชีวิตจากโควิด-19 การให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็ก วัคซีนจะต้องมีความปลอดภัยสูงมากจึงจะคุ้มค่า เพราะตัวเด็กเองโดยเฉพาะวัยเรียนเป็นแล้วไม่รุนแรง นอกจากจะนำเชื้อมาสู่ผู้แก่ ผู้เฒ่าที่บ้าน หรือทำให้เกิดการระบาดได้ โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีคนอยู่ร่วมกันมากๆ"
ศ.นพ.ยงกล่าวว่า การให้ mRNA วัคซีนในเด็กอายุ 12-17 ปี มีความเสี่ยงในการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ถ้าคำนึงถึงผลได้ผลเสียในระยะเวลา 120 วัน เด็กอายุ 12-17 ปีถ้าฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 mRNA 1 ล้านคน จะป้องกันการเสียชีวิตในเด็กชายได้ 2 คน และถ้าเป็นเด็กหญิง 1 คน ถ้าฉีดวัคซีน mRNA เข็มที่ 2 มีโอกาสเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กชาย (12-17 ปี) 59-69 คน เด็กหญิง 8-10 คน ใน 1 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนในประเทศสหรัฐอเมริกา MMWR July 9 2021; 70 (27): 977 -982
"กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ควรจะได้รับวัคซีนก่อนให้มากที่สุด เพื่อลดความรุนแรงของโรคและอัตราการเสียชีวิตก่อน แล้วถ้าวัคซีนมีมากเพียงพอ ทุกคนก็ควรได้รับวัคซีน รวมทั้งเด็กด้วย ความเสี่ยงและประโยชนที่ได้จะต้องนำมาประกอบการตัดสินใจของผู้ปกครอง" ศ.นพ.ยงกล่าว
วันเดียวกัน ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องการประกาศรายชื่อสถานศึกษาที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มในโครงการ “VACC 2 School” นำร่องฉีดวัคซีนบริจาคซิโนฟาร์มให้แก่เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 10-18 ปี เพื่อติดตามศึกษาผลของวัคซีนและการกลับคืนสู่การศึกษาปกติอย่างเป็นระบบ
ศ.นพ.นิธิกล่าวว่า สถานศึกษาที่ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 43 โรงเรียน จำนวนนักเรียน 50,479 ราย ได้แก่ 1.โรงเรียนโพธิสารพิทยากร 2.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 3.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต 4.โรงเรียนรัตนบัณฑิตวิทยา 5.โรงเรียนสันติสุขวิทยา 6.โรงเรียนธัญบุรี 7.โรงเรียนสาธิตพัฒนา 8.โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย 9.โรงเรียนเผดิมศึกษา 10.โรงเรียนนานาชาติคริสเตียนกรุงเทพ 11.โรงเรียนเด็กสากล นิมิตใหม่ 12. โรงเรียนเปรมประชาวัฒนา 13. โรงเรียนนานาชาติกลอรี่สิงคโปร์ 14.โรงเรียนวัดนวลนรดิศ 15.โรงเรียนวัดบางน้ำผึ้งนอก 16.St.Stephen’s International School 17.โรงเรียนเพลินพัฒนา 18.โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ 19.โรงเรียนกว่างเจ้า 20.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย 21.โรงเรียนวรราชาทินัดดามาตุวิทยา 22.โรงเรียนทอรัก
23.โรงเรียนแช่มเสริม 24.โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม 25. King’s College International School Bangkok 26.โรงเรียนทวีธาภิเศก 27.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 28.โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย 29.โรงเรียนวัดทรงธรรม 30.โรงเรียนสวนอักษร 31.โรงเรียนสาธิตพัฒนาฝ่ายมัธยม 32.ศูนย์การเรียนรุ่งอรุณ 33.โรงเรียนสตรีวิทยา 34.โรงเรียนศึกษานารีวิทยา 35.โรงเรียนฐานปัญญา 36.โรงเรียนศึกษานารี 37.โรงเรียนสามโคก 38.โรงเรียนรุจิเสรีวิทยา 39.โรงเรียนมัธยมนครรังสิต 40.โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา 41.โรงเรียนเด็กสากล 42. โรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ และ 43.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม
"โรงเรียนที่ได้รับการจัดสรร ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะทยอยจัดส่งอีเมลถึงผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียน เพื่อแจ้งชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านสำหรับล็อกอินเข้าระบบที่เว็บไซต์ https://vaccine.cra.ac.th กดเมนูลงทะเบียนองค์กรผู้ได้รับการจัดสรรวัคซีน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้สามารถเริ่มนัดฉีดวัคซีนให้กลุ่มนักเรียนได้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.เป็นต้นไป เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเตรียมความพร้อมให้นักเรียนก่อนเปิดภาคเรียนใหม่" เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ระบุ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |