“สมศักดิ์” ยันปัญหาร้าวฉาวใน พปชร.แค่จินตนาการ ยกประสบการณ์อ้าง ส.ส.มักให้เรื่องจบแล้วจบเลย “เพื่อไทย” ตีปี๊บอภิปรายไม่ไว้วางใจสำเร็จตามเป้า เตรียมทาเกลือ สัปดาห์หน้าหารือส่งเรื่องขยี้ต่อ “สุทิน” มั่นใจกรณีแจกเงิน 5 ล้านมัดแน่น มีทั้งคลิป-กล้องวงจรปิด-พยานบุคคล “เรืองไกร” ส่งอีเอ็มเอสถึงลุงตู่ทบทวนมติ ครม.อุ้มดาวเทียม ชี้อาจผิดกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ
เมื่อวันพุธที่ 8 กันยายน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสความขัดแย้งภายในพรรค ว่าดูเหมือนไม่มีอะไร เพราะจากประสบการณ์ด้านการเมือง หากกรณีไหนผ่านพ้นไปแล้ว ส่วนใหญ่ ส.ส.จะทำความเข้าใจกันได้ดี สิ่งที่เป็นข่าวออกไปทั้งหมดคิดว่าอาจมีเรื่องจริงบ้าง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของจินตนาการของแต่ละคน การคิดว่าความสัมพันธ์ต่างๆ จะก้าวไปถึงการมีปัญหามากขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องของจินตนาการ แต่ในข้อเท็จจริงคิดว่าไม่น่ามีอะไร
เมื่อถามถึงเรื่องแก๊ง 4 ช. นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการประชุมพรรค หลังจากที่อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล แต่ทุกอย่างเป็นปกติดี การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ก็เห็นไปครบถ้วนดี ถามต่อถึงกระแสข่าวปรับเปลี่ยนเลขาธิการพรรค นายสมศักดิ์กล่าวว่า อย่างที่เรียนตั้งแต่ต้นแล้วว่า เรื่องจริงยังไม่มี แต่เรื่องของจินตนาการของทุกคนที่ว่ากันไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีศาลฎีกามีคำสั่งให้นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ และนายภูมิศิษฏ์ คงมี ส.ส.พัทลุง พรรค ภท. หยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีเสียบบัตรแทนกัน ว่าทั้งสองก็ต้องต่อสู้ไปตามกระบวนการ เรื่องนี้คาดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะศาลเคยสั่งให้ ส.ส.พรรค พปชร.หยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีเดียวกันมาก่อนแล้ว ซึ่งก็ทำให้เสียงของพรรคที่จะโหวตเรื่องสำคัญหายไป 2 เสียง แต่ถึงแม้ไม่ได้ทำหน้าที่ในสภา ก็ยังลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนได้ เพราะยังเป็น ส.ส.อยู่
เมื่อถามว่าแม้ 2 เสียงหายไป แต่มีเสียงอื่นมาเติมหลายคน นายศุภชัยตอบว่า ยังไม่ได้นับ
ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค ได้หารือสรุปการทำงานหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เพื่อสรุปจุดอ่อน จุดแข็งการอภิปรายที่ผ่านมา ซึ่งพอใจผลการทำงาน เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยวัดจากประชาชนที่อยู่ในเกณฑ์พึงพอใจ ซึ่งอาจบกพร่องเรื่องการวางน้ำหนักวางตัวบุคคลเพื่ออภิปรายอยู่บ้าง ส่วนคะแนนโหวตก็เป็นไปตามคาด ไม่เคยมีรัฐบาลแพ้โหวตในสภา
นายสุทินกล่าวอีกว่า สิ่งที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้อภิปรายไป พบว่ารัฐมนตรีตอบไม่ชัดเจนหลายประเด็น เจตนาหลีกเลี่ยงไม่ตอบ เช่น เรื่องส่วนต่างราคาวัคซีนซิโนแวค ซึ่งรัฐบาลยังไม่แสดงหลักฐานการซื้อ รวมถึงเรื่องการจัดซื้อแบบจีทูจี ที่ฝ่ายค้านเอาหลักฐานการเสียภาษีมาแสดงในส่วนนี้รัฐบาลก็ไม่ตอบ เรื่องชุดตรวจโควิดแบบ ATK ยังมีเงื่อนงำ บริษัทหนึ่งประมูลแล้วเซ็นสัญญาอีกบริษัท รวมถึงเรื่องทุจริตยาง รัฐบาลตอบแบบเลี่ยงบาลี ไม่ตอบตรงๆ เบื้องต้นมี 3-4 เรื่องที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นดำเนินคดีต่อไป ประกอบด้วย 1.เรื่องการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 2.การที่นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจในการแทรกแซง หรือล้มกระบวนการจัดซื้อชุดตรวจ ATK เป็นการประพฤติมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 3.เรื่องยางพารา และ 4.การทุจริตในกองทัพอากาศ โดยสัปดาห์หน้าผู้อภิปรายทุกคนจะเข้ามาหารือเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะมีหลายคดีกว่านี้ การจะยื่นเอาผิดแต่ละเรื่องนั้นจะพิจารณากันต่อไปว่า เรื่องใด ควรยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือหน่วยงานอื่นให้ตรวจสอบ
เมื่อถามว่า สถานทูตจีนประณามคนด้อยค่าวัคซีน พรรค พท.จะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า คงไม่ต้องปรับความเข้าใจอะไร เพราะการพูดถึงวัคซีนซิโนแวคเป็นการอ้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และองค์การที่น่าเชื่อถือ เราไม่ได้เอาความรู้สึกส่วนตัวมาพูด
พท.ตามขยี้แจกเงิน
นายสุทินยังกล่าวว่า เรื่องใหญ่ที่สุด คือ เหตุการณ์แจกจ่ายเงินบนชั้น 3 อาคารรัฐสภา เพื่อจูงใจให้ ส.ส.ลงคะแนน ตามที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรค พท.เปิดประเด็น เรื่องนี้พบว่ามีหลักฐานหลายอย่าง และเชื่อมั่นว่าจะดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้ โดยจะรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมยื่นต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร จะติดตามเรื่องนี้จนถึงที่สุด และอาจยื่นต่อคณะกรรมการจริยธรรม ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานด้วย
เมื่อถามถึงหลักฐานเพื่อที่จะเอาผิดกรณีแจกจ่ายเงินชั้น 3 อาคารรัฐสภา นายสุทินกล่าวว่า มีทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่เราไปขอล็อกไว้ ภาพถ่าย พยานบุคคล ซึ่งแบ่งเป็นคนที่พบเห็นเหตุการณ์ ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย และคนที่ได้รับการทาบทาม แต่เขาปฏิเสธ แม้นายกฯ ไม่ใช่ผู้จ่ายเอง แต่ก็อาจเชื่อมโยงไปถึงได้ มีบุคคลที่เป็นตัวแทนจ่าย จะเป็นคนแรกที่ถูกร้องดำเนินคดี ยืนยันว่ามีพยานสมบูรณ์ คนที่ได้รับการทาบทามแล้วยินดีที่จะมาเป็นพยาน และต่อสู้คดีในศาลให้เราด้วย
“การแจกจ่ายเงิน ส.ส.เป็นเรื่องความเสียหายต่อสภามาก จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงไปโดยไม่ชัดเจน แต่จะติดตามให้ถึงที่สุด คนที่อยู่ในกระบวนการแจกจ่ายเงินต้องถูกดำเนินคดีและลงโทษอย่างถึงที่สุด คาดว่าช่วงต้นเดือน ต.ค.น่าจะยื่นต่อองค์กรต่างๆ ได้ ทั้ง ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น” นายสุทินกล่าว
ขณะเดียวกัน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ยื่นหนังสือต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้พิจารณาคำร้องกรณีกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย เพื่อให้พิจารณาส่งคำร้องดังกล่าวไปยัง ป.ป.ช.ให้ไต่สวน และดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ หรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ประเด็นเกี่ยวการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศ (ทอ.) 3 โครงการ มูลค่าเกือบ 3 พันล้านบาท ที่เข้าข่ายการดำเนินการที่ขัดต่อระเบียบและกฎหมาย
น.อ.อนุดิษฐ์เปิดเผยว่า เรื่องที่อภิปรายไม่ใช่การกล่าวหา แต่มีข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารและคำให้การของผู้เกี่ยวข้องในชั้น กมธ. โดยทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบป้องการทางอากาศ ระยะที่ 7 ( N-SOC C2) โครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ (GBAD) และโครงการจัดหาทดแทนวิทยุพื้นดิน-อากาศ ซึ่งความไม่ชอบมาพากลในกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะใน ทอ.ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ กำลังตรวจสอบความผิดปกติในการใช้งบประมาณในปี 2564 อยู่อีกหลายโครงการ มั่นใจว่า กมธ.จะหาผู้กระทำผิด และส่งรายละเอียดให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบต่อไปได้อย่างแน่นอน
เรืองไกรท้วงมติดาวเทียม
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต กมธ.พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ระบุว่า ในฐานะที่เคยตรวจสอบเรื่องเดิมเกี่ยวกับสัมปทานดาวเทียม ซึ่งหลายคดีที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย เห็นว่ามติ ครม.เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2564 ในการแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคม อาจไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยในมติ ครม. มี 2 กรณี คือ 1.กรณีการแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (สัญญาฉบับที่ 5) ครม.เห็นชอบให้ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ ถือหุ้นใน บมจ.ไทยคม ไม่ต่ำกว่า 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดำเนินการแก้ไขสัญญาตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 และ 2.กรณีดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ครม.เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมสัญญา โดยกำหนดให้ดาวเทียมไทยคม 4 ผนวกเข้ามาเป็นดาวเทียมภายใต้สัญญา ทั้งนี้ ให้แก้ไขสัญญาตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562
นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า มติ ครม.ดังกล่าวต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ และรัฐธรรมนูญ 2560 แต่จากการพิจารณาศึกษาข้อกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง มีประเด็นว่า มติ ครม.อาจขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และมติ ครม.มิใช่กฎหมาย การอาศัยเพียงประกาศของคณะกรรมการ กสทช. อาจหาเพียงพอไม่ มติ ครม.ครั้งนี้ ยังอาจส่อไปในทางเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2562 หมวด 6 อีกด้วย
“เพื่อให้มติ ครม.ดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ไม่ผิดพลาดเหมือนรัฐบาลในอดีต ซึ่งรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลชุดนี้เคยร่วมกระทำผิดจนตกเป็นจำเลยมาแล้ว จึงมีเหตุที่ควรแจ้งเตือนนายกฯ ให้ทราบ อีกทั้งเรื่องนี้มีรายละเอียดมาก ความไม่รอบคอบและเร่งรีบอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐตามมาได้ จึงได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงนายกฯ เพื่อขอให้พิจารณาโดยละเอียดรอบคอบก่อนว่า มติ ครม. 7 ก.ย.เกี่ยวกับการแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคมนั้นชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญหรือไม่” นายเรืองไกรระบุ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |