จริงหรือที่ว่า 'สี จิ้นผิง' กำลังใช้ ‘เหมาโมเดล’ ปฏิรูปจีนวันนี้?


เพิ่มเพื่อน    

        “ความคิดของท่านประธานสี” กำลังจะกลายเป็นวิชาในหลักสูตรของโรงเรียนในเมืองจีน

            ทำให้นักวิเคราะห์บางคนย้อนคิดถึง “ความคิดของท่านประธานเหมา” ในยุคการสถาปนาประเทศจีนยุคใหม่โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ 72 ปีก่อน

            ยุคของ “ประธานสี” กำลังกลับไปเน้นบทบาทโดดเด่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเข้มข้น

            อีกทั้งยังเห็นร่องรอยของการหวนคืนมาของการรณรงค์ความรักชาติและ “วิพากษ์ตัวเอง” รวมถึงการ “เข้าถึงมวลชน” แบบที่ประธานเหมา เจ๋อตงเคยใช้เพื่อ “จัดระเบียบ” คนจีนให้อยู่ในกรอบของการควบคุมของพรรค

            นักวิเคราะห์ตะวันตกบางคนบอกว่า มีแนวโน้มชัดเจนด้วยว่าสี จิ้นผิงกำลังจะสร้าง “ลัทธิบูชาบุคคล” หรือ Personality Cult ให้แก่ตนเองเหมือนที่เหมาเคยทำ

            การที่มีตำราสอน “ความคิดของท่านประธานสี” ให้แก่นักเรียนอย่างเป็นทางการครั้งแรกจึงตอกย้ำความเชื่อเช่นนั้น

            ตามมาด้วยการตั้ง “สถาบันวิจัยความคิดของท่านประธานสี” ในมณฑลต่างๆ เพื่อให้มวลชนมีทัศนคติไปในทางเดียวกับที่พรรคคอมมิวนิสต์ต้องการเห็น

            เมื่อเร็วๆ นี้มีบทความที่ตีพิมพ์ในสื่อทางการจีนหลายแห่งวิเคราะห์ว่า จีนกำลังเข้าสู่ “การปฏิวัติสังคมครั้งใหม่” ที่ลุ่มลึกและจริงจัง

            บทความที่กำลังเป็นประเด็นถกแถลงกันอย่างร้อนแรงในหลายๆ  เวทีขณะนี้เขียนโดย blogger ชื่อ "หลี่ กวงหม่าน”

            ที่สร้างความฮือฮาเป็นพิเศษคือ การที่คนเขียนคนนี้ใช้คำว่า "เปี้ยนเก๋อ"

            บทความนี้บอกว่า "ทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกำลังดำเนินอยู่!"

            คนที่ติดตามเรื่องนี้ใช้คำภาษาอังกฤษว่า Social Transformation  หรือ “การปรับตัวครั้งใหญ่ทางสังคม”

            ภาษาจีนนั้นคำว่า “เปี้ยนเก๋อ” แปลว่า "การปฏิวัติที่ถึงแก่น" ได้ด้วย

            นั่นส่อนัยว่านี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงธรรมดา

            แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ภายใต้การนำของท่านประธานสี จิ้นผิงเลยทีเดียว

            บทความนี้ปรากฏออกมาในขณะที่ผู้นำจีนได้สั่ง “ล้างบางและชำระสะสาง” วงการต่างๆ อย่างหนักหน่วงและรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา บันเทิง ธุรกิจเทคโนโลยี การเงินการธนาคาร และวงการการเมือง

            ตอนหนึ่งของบทความนี้พูดถึงการระงับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ Ant

            ตลอดถึงการที่รัฐบาลกลางประกาศยกเครื่องกฎกติกาว่าด้วยเศรษฐกิจครั้งใหญ่

            กับการจัดการกับการผูกขาดไปจนถึงการปรับเครือ Alibaba

            อีกทั้งยังสั่งสอบ Didi ซึ่งเป็นบริษัทใช้ app เรียกรถบริการกรณีทำผิดกฎหมาย ถูกสั่งปรับจำนวนเงิน 18.2 พันล้านหยวน

            การรณรงค์อย่างขึงขังและกว้างขวางมาสรุปตรงคำขวัญใหม่ล่าสุดของท่านผู้นำว่า ประเทศจีนจะต้อง “รุ่งเรืองร่วมกัน”

            เป็นการตอกย้ำว่าสังคมจีนจะต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน ไม่ใช่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีความมั่งคั่งมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เป็นร้อยเท่าพันเท่าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

            ผู้รู้วิเคราะห์สองคำที่มีความหมายโยงกับการ “ปฏิวัติ” ของคำคือ  变革 (เปี้ยนเก๋อ) คือการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง

            และคำว่า 革命 (เก๋อมิ่ง) หรือปฏิวัติ

            "เก๋อมิ่ง" มีความหมายในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วย

            นักเขียนคนนี้บอกว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม (เปี้ยนเก๋อ) เท่านั้น

            แต่มีสัญญาณว่าผู้นำจีนกำลังตั้งเป้าไปถึงการเปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคนทางการเมืองด้วย

            ตอนหนึ่งของบทความนี้สำทับด้วยภาษาดุดันเข้มข้นว่า

            "มวลชนกำลังทวงคืนจากกลุ่มทุน นี่คือการเปลี่ยนแปลงจากทุนเป็นศูนย์กลางไปสู่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง...”

            เขาบอกว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่จะเปิดทางให้ ประชาชนกลายเป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้อีกครั้ง

            “ใครที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางจะถูกละทิ้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้คือการหวนคืนสู่เจตนาดั้งเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง นี่คือการหวนกลับคืนสู่สาระแก่นแท้ของลัทธิสังคมนิยม"

            นักวิเคราะห์หลายสำนักบอกว่า ภาษาและเนื้อหาเช่นนี้เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่สี จิ้นผิงได้นำเสนอมาตลอดเวลาหลายปี และเพิ่งจะเห็นเป็นรูปธรรมในช่วงหลังนี้

            สี จิ้นผิงดูเหมือนจะพยายามบอกกับประชาชนคนจีนว่า สังคมจีนกำลังถูกทุนนิยมและค่านิยมตะวันตกบ่อนทำลาย

            จีนกำลังตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะหลุดจากหลักการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

            หลายคนอาจจะคิดว่าคำนิยามของ “สังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์แบบจีน” นั้นก็คือทุนนิยมดีๆ นี่เอง

            และสูตร “ไฮบริด” อย่างนี้กระมังที่เป็นสูตรแห่งความสำเร็จ ที่ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับสองของโลก

            และยังสร้างบารมีไปทั่วโลก จนทำให้สหรัฐฯ กลัวว่าตนจะสูญเสียความเป็นมหาอำนาจแต่เพียงชาติเดียวในโลกไป

            แต่วันนี้สี จิ้นผิงกำลังจะส่งสัญญาณว่า แม้จีนต้องการจะเติบใหญ่และไม่ยอมให้สหรัฐฯ มาขวางทางตน แต่ขณะเดียวกันก็จะยังรักษาไว้ซึ่งระบอบการปกครองแบบ “สังคมนิยมแบบจีน” ที่พรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศ

            หรือเป็นเพราะผู้นำจีนรู้สึกว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังถูกท้าทาย หรือไม่มีความหมายสำหรับคนรุ่นใหม่?

            เป็นปรากฏการณ์ของจีนที่น่าเกาะติดเพื่อรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมังกรยักษ์นี้เป็นอย่างยิ่ง.

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"