ข่าวจากเมืองจีนช่วงนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับการ “จัดระเบียบสังคมใหม่” ที่ค่อนข้างจะคึกคักและชวนสับสน
นักวิเคราะห์บางคนถึงกับบอกว่า นี่อาจจะเป็นการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม 2.0” ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก็ได้
แต่ผู้รู้อีกหลายคนก็แย้งว่า ปฏิวัติวัฒนธรรมยุคประธานเหมา เจ๋อตงในช่วงปี 1966-1976 นั้น มีความแตกต่างกับความเคลื่อนไหวที่เห็นอยู่ในจีนปัจจุบันหลายด้าน
รอบนี้มีการจัดระเบียบตั้งแต่ธุรกิจไฮเทค, การควบคุมกิจกรรมของมหาเศรษฐี, การห้ามเด็กจีนเล่นวิดีโอเกมเกินสัปดาห์จะ 3 ชั่วโมง และล่าสุดการจัดระเบียบวงการบันเทิงครั้งใหญ่
เมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง สำนักสารนิเทศแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศมาตรการจัดการกับสิ่งที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์อันไม่เหมาะสมในอุตสาหกรรมความบันเทิงของจีน”
นัยว่าเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการเติบโตที่ดีของทั้งอุตสาหกรรมและคนรุ่นใหม่
คำประกาศนี้บอกว่า มีความจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการที่ครอบคลุมและเฉพาะเจาะจงเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
เช่นการจ่ายเงินสนับสนุนคนดังมากเกินไป
การหลีกเลี่ยงภาษี
การโหมกระพือข้อมูลและภาษาหยาบคาย
รวมไปถึงคนดังเพศชายที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิง
และมีการเสพติดยอดเข้าชม “อย่างไม่สมเหตุสมผล”
ครอบคลุมถึง “พฤติกรรมสุดโต่งในการชื่นชมคนดัง”
ทั้งหมดนี้รัฐบาลจีนถือว่าเป็นอันตรายต่ออุตสาหกรรมและสังคมขั้นพื้นฐานของจีน
สำนักสารสนเทศฯ บอกว่า คนดังที่ขาดคุณธรรมบางกลุ่มเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้คนหนุ่มสาว
เพราะมีพฤติกรรมไม่เคารพกฎหมายและประพฤติผิดทำนองคลองธรรม ส่งผลให้เกิด “สภาพแวดล้อมเป็นพิษ” ในสังคม
มีคำสั่งให้แพลตฟอร์มความบันเทิงตรวจสอบเนื้อหาที่เผยแพร่อย่างรอบคอบ
และส่งเสริมธุรกิจในอุตสาหกรรมความบันเทิงรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
อย่าได้มุ่งหวังผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ข่าวที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก คือการที่แจ็ก หม่า ผู้ก่อสร้างกลุ่ม Alibaba ถูกทางการสอบสวนว่าด้วยการที่เครือข่ายธุรกิจยักษ์ของเขาขยายตัวกว้างขวางจนเกิดการผูกขาด
การ “ลงโทษ” แจ็ก หม่า โดยผู้มีอำนาจของปักกิ่ง เกิดขึ้นหลังจากที่เขาขึ้นเวทีวิพากษ์ระบบราชการบางส่วนของจีนที่ยังล้าสมัยคร่ำครึ
หากมหาเศรษฐีจีนคนนี้ไปพูดเรื่องนี้ในเวทีปกติก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่วันนั้น คนฟังล้วนแล้วแต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวง ทบวง กรม และธนาคารกลางของจีน
เกิดแรงกระเพื่อมรุนแรงเพราะแจ็ก หม่าถูกมองว่าเริ่มจะ “ซ่า” และ “กร่าง” เกินเหตุ ไม่รู้ว่ากำลังพูดให้ใครฟัง และอาจหาญถึงขั้นต่อว่าต่อขาน “ผู้คุมกฎ” ที่เกี่ยวกับธุรกิจของเขากันต่อหน้าต่อตา
ทันใดนั้น ทางการก็มีคำสั่งนาทีสุดท้ายระงับแผนการเข้าตลาดของบริษัทการเงินในเครือชื่อ Ant ที่ประสบความสำเร็จในวงการนี้อย่างยิ่ง
จากนั้นมหาเศรษฐีจีนเจ้าของธุรกิจเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Tencent ก็ถูกตรวจสอบและกำกับดูแลใกล้ชิดขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณบอกมหาเศรษฐีเหล่านี้ว่า ความมั่งคั่งที่พวกเขาสั่งสมขึ้นมานั้นเป็นเพราะคนจีนสนับสนุน แต่ได้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างมโหฬาร
ความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดเจนระหว่างกลุ่มคนที่ร่ำรวยทันตาเห็นในจีนกับชนชั้นกลางและระดับรากหญ้า ทำให้รัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มกริ่งเกรงว่าหากปล่อยให้แนวโน้มเช่นนี้เดินหน้าต่อไปจะมีผลกระทบต่ออำนาจบารมีของพรรคและรัฐบาลได้
เพราะหากคนรุ่นใหม่มีค่านิยมไปทางชื่นชมคนรวย ทำทุกอย่างเพื่อเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตก อาจจะทำให้ความเชื่อถือและศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ลดน้อยถอยลง
เราจึงเห็นคำสั่ง “จัดระเบียบสังคม” ใหม่ออกมาเป็นชุดในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้
นี่คือความสลับซับซ้อนในแนวทางของสี จิ้นผิง ที่ต้องการจะใช้ระบบทุนนิยมมาหนุนเนื่องการเติบใหญ่ของจีน
แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องการรักษา “สังคมนิยมที่คงอัตลักษณ์จีน” ไว้ด้วย
มาถึงจุดหนึ่งที่สี จิ้นผิงต้อง “แตะเบรก” ไม่ให้ระบบ “ทุนนิยมตะวันตก” สร้างอิทธิพล จนอาจทำให้อำนาจการกำกับควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อประชาชนต้องผุกร่อนลง.
(พรุ่งนี้: ปฏิวัติวัฒนธรรม 2.0?)
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |