หายใจโล่งกันไปสำหรับกองเชียร์ "บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี" ที่สุดท้ายพลเอกประยุทธ์ยังได้ไปต่อบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หลังแฟนคลับนายกฯ ลุงตู่หายใจไม่ทั่วท้องมาหลายวันกับกระแสการเมือง
"เปลี่ยนม้ากลางศึก-เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี-ล้มประยุทธ์กลางสภา"
ที่ดังกระหึ่มทางการเมืองมาร่วม 5-6 วัน ตั้งแต่ก่อนระเบิดศึกซักฟอก แต่สุดท้ายเมื่อคลื่นใต้น้ำในพลังประชารัฐเคลียร์กันได้ก่อนหน้าวันลงมติ ผลการลงมติออกเสียงของที่ประชุมสภาก็เลยฉลุย พลเอกประยุทธ์ได้ไปต่อบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แม้คะแนนไว้วางใจจะไม่ได้มาอันดับหนึ่ง
เพราะพลเอกประยุทธ์ได้คะแนนไว้วางใจ 264 เสียง-ไม่ไว้วางใจ 208 เสียง ที่พบว่าได้คะแนนไว้วางใจมากกว่าสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานจากพลังประชารัฐ แค่คนเดียว และได้คะแนนไม่ไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่ง!
เป็นอันว่าศึกซักฟอกจบไปแล้ว แต่ร่องรอยทางการเมือง อย่างที่เห็นตลอดช่วง 4-5 วันก่อนหน้าการลงมติ แวดวงการเมืองต่างส่งสุ้มเสียงแบบสอดประสานไปในทางเดียวกัน ศึกซักฟอกที่ผ่านไปเป็น "การจบแบบไม่จบ"
หลังทุกคนเห็นชัด ซักฟอกรอบนี้ การเมืองนอกห้องประชุมสภา โดยเฉพาะภายในพรรค "พลังประชารัฐ" เคลื่อนไหวหนักหน่วง จนบางจังหวะ บาง movement แย่งซีนการอภิปรายของฝ่ายค้านแบบทิ้งห่าง
โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์และธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แกนนำกลุ่ม 4 ช. ที่ต่างก็ "เปิดหน้า-ทิ้งไพ่" กันออกมาให้เห็นก่อนหน้าการลงมติ 2-3 วัน ชนิดไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างก็มั่นใจในศักยภาพและกองหนุนของตัวเองว่าอยู่บนฝ่ายคุมเกมในศึกคลื่นใต้น้ำรอบนี้
ซึ่งในส่วนของ "ธรรมนัส" ที่มีข่าวปรากฏตามสื่อ อีกทั้งยังแสดงท่าทีและมีสัญญาณต่างๆ ออกมาว่าเป็นคนคอยกดปุ่มเคลื่อนไหวเรื่องการออกเสียงของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ทั้งในพลังประชารัฐและพรรคขนาดเล็ก เพื่อกดดันพลเอกประยุทธ์ให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี เพราะเก้าอี้ รมช.เกษตรฯ เล็กเกินไปแล้วสำหรับธรรมนัส กับการเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล จึงควรได้เก้าอี้รัฐมนตรีที่เหมาะสมกับหน้าตาและตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ เช่น "รมว.มหาดไทย-มท. 1" เพื่อมาแทน "บิ๊กป๊อก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา"
หลังที่ผ่านมากว่าสองปี พบว่า ส.ส.พลังประชารัฐเกือบทั้งพรรคต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า "เอือมระอา" กับพฤติการณ์ไม่เห็นหัว ส.ส.ของพลังประชารัฐ ของพลเอกอนุพงษ์ เช่น มีข่าวว่า ส.ส.พลังประชารัฐหลายคนเคยจับกลุ่มกันเป็นสิบคนไปขอพบพลเอกอนุพงษ์ที่กระทรวงมหาดไทย ที่กว่าจะติดต่อนัดหมายได้ก็ต้องใช้เวลาหลายวัน แถมพอไปพบแล้วยังให้รอหลายชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ทำให้ ส.ส.พลังประชารัฐเกือบทั้งพรรคไม่พอใจมาก เพราะต่างคิดว่า ส.ส.คือกองกำลังสำคัญที่คอยค้ำยันให้บิ๊กป๊อกอยู่ในอำนาจเป็น มท.1 มาร่วมกว่าสองปี จนมีเสียงยุจาก ส.ส.พลังประชารัฐส่งเสียงไปถึงธรรมนัสว่า เป็นระดับเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ มันต้องเป็น รมว.มหาดไทย ถึงจะสมน้ำสมเนื้อ เมื่อเสียงเรียกร้องดังกล่าวจากกลุ่ม ส.ส.พลังประชารัฐดังขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้ธรรมนัสดูจะได้ใจมากขึ้นในการคิดการใหญ่ เพื่อสร้างฐานอำนาจให้กลุ่ม 4 ช.มากขึ้นผ่านการปรับ ครม.
เพราะก่อนหน้านี้ "สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง-กลุ่มทุนใหญ่ในพลังประชารัฐ และ 1 ในกลุ่ม 4 ช." ก็ออกตัวแรงหลายรอบ ว่าพร้อมจะเป็นขุนคลังคนใหม่แทนปรีดี ดาวฉาย อดีต รมว.คลัง ที่ลาออกกลางคัน แต่สุดท้ายพลเอกประยุทธ์ก็เลือกอาคม เติมพิทยาไพสิฐ มาเสียบแทน ข่าวว่าทำเอาสันติเสียเซลฟ์ไปพอสมควร
จากสภาพการณ์ทั้งหมดข้างต้น ผสมกับอายุของสภาชุดนี้ที่เหลืออีกแค่กว่าปีก็จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งหากดูจังหวะรอบการปรับ ครม.แล้ว ก็น่าจะเกิดขึ้นได้อีกเพียงแค่ประมาณ 2 ครั้ง หรือเต็มที่ไม่น่าจะเกิน 3 ครั้ง กรณีรัฐบาล-สภาอยู่ครบเทอม แต่หากสถานการณ์การเมืองไม่แน่อนก็อาจปรับได้แค่อีกครั้งเดียว
เลยทำให้มีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า กลุ่มธรรมนัสต้องเร่งจังหวะการปรับ ครม.ให้เร็วขึ้น โดยใช้ผลการลงคะแนนเสียงไว้วางใจมาต่อรอง ซึ่งมีข่าวออกมาทำนอง หากพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมลงมาเจรจาพูดคุย ก็อาจ "เจอสั่งสอน" ทางการเมืองด้วยการอาจไม่ได้ไปต่อบนเก้าอี้นายกฯ หลุดจากนายกฯ กลางสภา ผสมกับกระแสข่าว "ดีลลับ-ดีลพิเศษ" กับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล คือ "พรรคเพื่อไทย" เพื่อล้มบิ๊กตู่กลางสภา แล้วเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลร่วมกันกับพรรคเพื่อไทย แม้ต่อให้อาจเจอด่านหิน ส.ว. 250 เสียงโหวตนายกฯ อาจสกัด แต่ฝ่ายธรรมนัสก็ดูจะมั่นใจว่าหากเอาจริงก็น่าจะพอฝ่าไปได้
ขณะที่ "พลเอกประยุทธ์" ก็เชื่อมั่น "แบ็กอัป" ของตัวเองว่ายังแข็งแรงพอที่จะทำให้อยู่บนเก้าอี้นายกฯ ได้ เพราะมั่นใจว่าตลอดเกือบ 7 ปีของการเป็นนายกฯ ไม่มีแผล ไม่มีเรื่องทุจริต และเสียงประชาชนยังหนุนหลังอยู่ ยากที่จะถูกใครแทงข้างหลังกลางสภาได้
ที่สำคัญบิ๊กตู่เชื่อใจในตัว "Big brother บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" อย่างมากว่าจะคอนโทรลเกมในพลังประชารัฐ เพื่อคุมพยศการเมืองในพลังประชารัฐจนอยู่หมัด ที่สำคัญพลเอกประยุทธ์ไม่เชื่อว่าบิ๊กป้อมจะคิดการใหญ่ล้มน้อง เพื่อหวังเป็นรักษาการนายกฯ ในช่วงสุญญากาศ และต่อด้วยนายกฯ คนนอกอย่างที่มีกระแสข่าวเสี้ยม 3 ป.แตกคอ เพราะบิ๊กป้อมคิดการใหญ่ อยากเป็นนายกฯ ดูสักครั้ง
เมื่อทั้งพลเอกประยุทธ์และกลุ่มธรรมนัสต่างฝ่ายต่างมั่นใจใน "หน้าตัก-แบ็กอัป-อาวุธลับ" ของตนเอง
บนข้อเสียเปรียบของพลเอกประยุทธ์ ก็คือ อยู่ในสภาพ "ขาลอยทางการเมือง" เพราะแม้พลเอกประยุทธ์จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพลังประชารัฐ แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับ ส.ส.ในพลังประชารัฐ เพราะพลเอกประยุทธ์คุยผ่านพลเอกประวิตรคนเดียวเป็นหลัก เรียกได้ว่าวางตัวห่างเหินกับพวกนักการเมืองในพลังประชารัฐ เลยทำให้บิ๊กตู่ซื้อใจคนในพลังประชารัฐไม่ได้จนขาดแบ็กอัปสำคัญในพรรค ซึ่งนี่คือจุดอ่อนที่บางกลุ่มในพลังประชารัฐเห็นและพยายามจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเอง
มันเลยทำให้ 4-5 วันก่อนหน้าการลงมติ บรรยากาศการเมืองในพลังประชารัฐและรัฐบาลอยู่ในสภาพคุกรุ่น-ร้อนแรง แม้แอร์ที่รัฐสภาจะเย็นขนาดไหนก็ดับร้อนการเมืองในพลังประชารัฐไม่ได้ กับกระแสข่าวล้มนายกฯ กลางสภา แม้จะมีความพยายามออกมาปฏิเสธข่าวจากแกนนำและ ส.ส.พลังประชารัฐหลายปีกก็ตาม
ก่อนที่สุดท้ายในช่วงวันสุกดิบ ก่อนการลงมติ ก็เป็น "บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร" ที่ต้องลงมาทำหน้าที่กาวใจ-มือประสาน เพื่อสยบคลื่นใต้น้ำในพลังประชารัฐ ผ่านการประชุม ส.ส.พลังประชารัฐ และตามด้วยการใช้ "มูลนิธิป่ารอยต่อฯ" ที่เป็นเซฟเฮาส์สำคัญของเครือข่าย 3 ป. เป็นสถานที่เคลียร์ใจปัญหาทั้งหมดตลอดช่วงบ่ายของวันที่ 3 ก.ย.
บนฉากการเมืองที่เรียกเสียงซี้ดซ้าดแบบแซ่บหลายให้แวดวงการเมืองได้ฮือฮาเล่น
ไม่ว่าจะเป็นการที่ "บิ๊กป้อม" สยบข่าวลือทุกกระแสเรื่องฝันเป็นนายกฯ แทนบิ๊กตู่ โดยยืนกราน “เราไม่ต้องการเป็นนายกฯ นายกฯ ไป ผมก็ไป”
พร้อมกับซีนการเมืองที่สื่อรายงานไว้ว่า ในการนัดเคลียร์ใจที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ที่พี่้น้อง 3 ป. "ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์" อยู่กันพร้อมหน้า โดยมีธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมด้วย ส.ส.ของพรรค พปชร.จำนวนหลายสิบคนร่วมวงด้วย
เนื้อหาการพบปะพูดคุยกันดังกล่าวสรุปได้ว่า ธรรมนัสได้ยกมือไหว้ขอโทษพลเอกประยุทธ์ และยืนกรานว่าไม่ได้เคลื่อนไหวล็อบบี้เสียง ส.ส.รัฐบาลให้โหวตคว่่ำพลเอกประยุทธ์แต่อย่างใด แต่ก็แจ้งกับพลเอกประยุทธ์ว่า ส.ส.ในพลังประชารัฐต้องการให้นายกฯ เพิ่มความใกล้ชิดกับ ส.ส.มากขึ้น เพื่อจะได้ช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่เลือกตั้ง จะได้เป็นการลดช่องว่างระหว่างนายกฯ กับพวก ส.ส.ในพลังประชารัฐ
จนสุดท้ายทั้ง "บิ๊กตู่ นายกฯ และบิ๊กป๊อก มท. 1" เลยต้องรับปาก "จะปรับตัว-อะไรที่มันแล้วก็ให้มันแล้วไป"
อย่างที่เน้นย้ำ แม้ศึกซักฟอกจะจบไปแล้ว แต่เป็นการจบแบบไม่จบ สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้ก็คือ ท่าทีและการวางตัวทางการเมืองของ "3 ป." โดยเฉพาะบิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก ทั้งภายในรัฐบาลและในพลังประชารัฐ คงไม่เหมือนเดิมแน่ เพราะการก่อหวอดที่เกิดขึ้นจากคนในพลังประชารัฐรอบนี้ คือสัญญาณเตือนการเมืองจาก ส.ส.พลังประชารัฐให้เห็นแล้วว่า ทั้งสองคนจะวางตัวแบบสมัยยุค คสช.อีกไม่ได้
ขณะเดียวกันต้องจับตาบทบาทของ "ธรรมนัส และกลุ่ม 4 ช." ในพลังประชารัฐต่อจากนี้ให้ดีว่าจะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้สุดท้ายดูเหมือนธรรมนัสจะยอมหมอบทางการเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้พลเอกประยุทธ์ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนักการเมืองในพลังประชารัฐมากว่าสองปี เกิดความหวั่นไหว เกรงจะหลุดจากนายกฯ กลางสภา จนต้องลงมาเจรจาคุยกับธรรมนัสและ ส.ส.พลังประชารัฐ พร้อมกับรับปากจะปรับท่าทีทางการเมืองหลังจากนี้
ผลที่ออกมาปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการเดินเกมเขย่าทางการเมืองในรัฐบาลที่ได้ผลพอสมควรของธรรมนัส กับการเอาตัวเข้าแลกในครั้งนี้
ฉากการเมืองฉากต่อไปที่ต้องจับตาก็คือ การปรับ ครม.รอบหน้า ที่หากปรับแล้ว ธรรมนัสและเครือข่ายในพลังประชารัฐไม่ได้อย่างที่ต้องการ การก่อพยศการเมืองรอบใหม่ก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้
เพราะเห็นชัดว่า อาวุธลับการเมืองบนหน้าตักของธรรมนัสยังมีอยู่อีกเพียบ และพร้อมจะปล่อยออกมาในจังหวะสำคัญบนเกมวัดใจ เดินพลาดอีกครั้งอาจม้วนเสื่อ พังทั้งพรรค!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |