การประชุมสภาองค์กรชุมชนระดับชาติเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมาที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กรุงเทพฯ
การเมืองในรัฐสภาเพื่อเปิดศึกซักฟอกรัฐบาลกำลังเข้มข้นดุเดือด ส่วนการเมืองบนท้องถนนก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ขณะที่เครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศในนามของ ‘สภาองค์กรชุมชนตำบล’ กำลังเฟ้นประเด็นปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนเพื่อนำมาเสนอในที่ประชุมระดับชาติในวันที่ 10 กันยายนนี้ เช่น โควิด-19 ภัยพิบัติ ปัญหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย กลุ่มชาติพันธุ์ ผลกระทบจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ การผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ฯลฯ
ก่อนจะนำประเด็นปัญหาและข้อเสนอจากภาคประชาชน...ไปออกแบบขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงให้เป็นรูปธรรมและเป็นจริงต่อไป…!!
13 ปี...สภาของประชาชน
‘สภาองค์กรชุมชนตำบล’ จัดตั้งขึ้นตาม ‘พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551’ ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ มีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมให้กลุ่มและองค์กรต่างๆ ในตำบล (บางพื้นที่อาจเป็นเทศบาลหรือในกรุงเทพฯ เป็นเขต) รวมตัวกันจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลขึ้นมา เพื่อนำปัญหาหรือเสนอแนวทางการพัฒนาในตำบลมาประชุม ปรึกษาหารือ เสนอความเห็น เสนอแนวทางพัฒนาหรือแก้ไขปัญหา และสามารถเสนอแนะต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
สุวัฒน์ คงแป้น ที่ปรึกษาสภาองค์กรชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนในการร่าง พ.ร.บ. และผลักดันให้เกิด ‘สภาองค์กรชุมชนตำบล’ อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อที่ประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลได้แนวทางในการแก้ไขปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาชุมชนแล้ว เรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้เอง สภาองค์กรชุมชนฯ และสมาชิกก็สามารถนำไปดำเนินการได้ทันที แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ สภาองค์กรชุมชนฯ สามารถนำไปเสนอแนะการแก้ไขปัญหาและแนวทางการพัฒนาต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้
โดยสภาองค์กรชุมชนตำบลแต่ละแห่งจะต้องจัดประชุมอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง และจัดประชุมสภาฯ ระดับจังหวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สามารถเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อนําไปประกอบการพิจารณาการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด รวมทั้งเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาตามความต้องการของประชาชน เช่น การจัดทำบริการสาธารณะ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม
สภาองค์กรชุมชนเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในตำบลแสดงความเห็นและความต้องการ เป็นรากฐานของประชาธิปไตยทางตรง
“นอกจากนี้จะต้องมีการจัดประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลในระดับชาติปีละ 1 ครั้ง ที่สำคัญก็คือ ตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนฉบับนี้ มาตรา 32 (3) กำหนดให้ที่ประชุมสภาฯ ระดับชาติ สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ ซึ่งหมายความว่า ปัญหาของประชาสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้โดยตรง ทำให้แก้ปัญหาได้ตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ถือเป็นบทบาทที่สำคัญของสภาองค์กรชุมชนฯ” สุวัฒน์กล่าว
จนถึงปัจจุบัน พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ย่างเข้าสู่ปีที่ 13 มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศแล้ว 7,795 แห่ง (ร้อยละ 99.62 ของจำนวนตำบล/เทศบาล/เขตทั่วประเทศ 7,825 แห่ง) โดยแยกเป็น กรุงเทพ ฯ ปริมณฑลและตะวันออก 881 แห่ง ภาคกลางและตะวันตก 1,159 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,908 แห่ง ภาคใต้ 1,176 แห่ง และภาคเหนือ 1,671 แห่ง มีสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบล (ผู้แทนชุมชนและผู้ทรงคุณวุฒิ) รวม 254,944 คน มีกลุ่มหรือองค์กรชุมชน/เครือข่ายองค์กรชุมชนที่จดแจ้ง รวม 156,280 องค์กร (ดูรายละเอียด พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนฯ และผลการดำเนินงาน 12 ปีสภาองค์กรชุมชน ได้ที่ web.codi.or.th )
รูปธรรมการใช้สภาฯ แก้ปัญหาในท้องถิ่น
จำนวนสภาองค์กรชุมชนตำบลที่มีการจัดตั้งทั่วประเทศแล้ว 7,795 แห่ง ในจำนวนนี้มีสภาฯ ที่รวมกลุ่มกันจัดตั้งตั้งแต่ปี 2551 และบางแห่งเพิ่งจัดตั้งได้ไม่นาน โดยมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการส่งเสริมการจัดตั้งสภาฯ ส่งเสริมกิจกรรมและการดำเนินงานของสภาฯ เช่น การพัฒนาศักยภาพแกนนำสภาฯ การศึกษาวิจัย สนับสนุนงบประมาณในการจัดประชุมสภาฯ ตั้งแต่ระดับตำบล-ระดับชาติ ฯลฯ
สภาองค์กรชุมชนตำบลแต่ละแห่งจะมีสมาชิกประมาณ 30-40 คน มาจากผู้แทนกลุ่มต่างๆ ในตำบล โดยจะมีการคัดเลือกประธานสภาฯ รองประธาน เลขานุการ ฯลฯ รวมทั้งคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในตำบลให้เป็นที่ปรึกษา เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน ครู พระ ฯลฯประกอบกับสภาพบริบทของแต่ละตำบล ทำให้การดำเนินงานของสภาฯ แต่ละแห่งแตกต่างกันไปตามสภาพของสังคม พื้นที่ และปัญหาต่างๆ ที่ตำบลเผชิญอยู่ เช่น
สภาองค์กรชุมชนตำบลบ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ใช้เวทีสภาฯ ขับเคลื่อนและต่อสู้จนสามารถทวงคืนผืนป่าสาธารณะห้วยเม็กที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เนื้อที่ 31 ไร่ จากบริษัทเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนชื่อดังที่งุบงิบทำเรื่องขอเช่าที่ดินสาธารณะโดยไม่ถูกต้อง โดยบริษัทยอมยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินสาธารณะแปลงดังกล่าว และยุติการสร้างโรงงานจนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศในช่วงปลายปี 2560
สภาองค์กรชุมชนตำบลเนินฆ้อ อ.แกลง จ.ระยอง เดิมชาวบ้านมีปัญหาหนี้สิน ผลผลิตราคาตกต่ำ แกนนำในตำบลจึงใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเวทีกลางสร้างความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน นำไปสู่การวางแผนพัฒนาทั้งตำบล โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เช่น ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ แปรรูปอาหารทะเล-ผลไม้ จัดตั้งตลาดในชุมชน และเป็นแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ‘มหาวิทยาลัยบ้านนอก’ ก่อนสถานการณ์โควิด-19 มีนักท่องเที่ยวและผู้มาศึกษาดูงานตลอดทั้งปี ประมาณปีละ 1 แสนคน ทำรายได้เข้าชุมชนประมาณปีละ 20 ล้านบาท ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สภาองค์กรชุมชนตำบลแจงงาม อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เริ่มมีผู้ติดเชื้อในตำบล สภาองค์กรชุมชนฯ จึงใช้เวทีสภาฯ เปิดประชุมเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เชื้อโควิดแพร่กระจาย โดยเชิญผู้นำในชุมชน อบต. หน่วยงานสาธารณสุขในตำบล ฯลฯ เข้าร่วม นำไปสู่การสั่งปิดหมู่บ้านเป็นเวลา 14 วัน ไม่ให้ผู้ติดเชื้อและครอบครัว รวมทั้งคนภายนอกเดินทางเข้า-ออกหมู่บ้าน โดยชุมชนช่วยกันจัดหาอาหาร ยาสมุนไพร สิ่งของจำเป็นให้แก่ผู้ติดเชื้อและครอบครัว 59 คน รวม 120 ครอบครัว รวมทั้งประสานงานกับ รพ.สต. อำเภอ และภาคเอกชนเพื่อให้ความช่วยเหลือจนผู้ติดเชื้อทุกรายหายเป็นปกติ เชื้อไม่แพร่กระจายไปสู่ชุมชนใกล้เคียง
สภาองค์กรชุมชนตำบลแจงงามมีบทบาทในช่วงสถานการณ์โควิด
นอกจากนี้สภาองค์กรชุมชนตำบลยังเป็นกลไกเชื่อมประสานงานพัฒนาในตำบลกับหน่วยงานต่างๆ เช่น โครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในชนบทตามโครงการ ‘บ้านพอเพียง’ ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. เพื่อสนับสนุนการซ่อม-สร้างบ้านให้แก่ประชาชนที่มีฐานะยากจน สภาพบ้านเรือนทรุดโทรมนั้น สภาองค์กรชุมชนตำบลจะทำหน้าที่สำรวจความเดือดร้อนของประชาชนในตำบล เพื่อนำมาจัดทำโครงการแก้ไขปัญหา มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลรับผิดชอบ เพื่อให้การดำเนินงานมีความโปร่งใส ประชาชนที่เดือดร้อนได้รับการช่วยเหลือจริง รวมทั้งสภาองค์กรตำบลบางแห่งยังขยับไปแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยด้วย
สุวัฒน์ คงแป้น ที่ปรึกษาสภาองค์กรชุมชน บอกว่า รูปธรรมการใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นกลไกขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชุมชนตามตัวอย่างดังกล่าว เป็นการแก้ปัญหาในระดับท้องถิ่น ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากนโยบายของรัฐ ดังนั้น พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 จึงออกแบบมาเพื่อให้มีการจัดประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลในระดับชาติปีละ 1 ครั้ง โดยมาตรา 32 (3) ระบุว่า “กำหนดให้ที่ประชุมสภาฯ ระดับชาติ สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ”
เปิดประชุมสภาฯ ระดับชาติ ชู 10 ประเด็นปัญหา
‘การจัดประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล’ ในปี 2564 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 กันยายนนี้ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ร่วมกับเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศจัดขึ้น ผ่านระบบ Zoom Meetings เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด เพราะในแต่ละปีจะมีผู้แทนสภาองค์กรชุมชนฯ และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมประมาณ 200 คน โดยในปีนี้มีการจัดสมัชชาเชิงประเด็นตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม - 4 กันยายน ผ่านระบบ Zoom Meetings เพื่อให้ผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศได้เสนอประเด็นปัญหาต่างๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะ แนวทางการแก้ไข และกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อนำมาสรุปและนำเสนอในวันประชุมระดับชาติวันที่ 10 กันยายน โดยมีธีมงาน คือ “13 ปีสภาองค์กรชุมชน ร่วมส่งเสริมสิทธิพลเมือง กระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม”
การจัดสมัชชาเชิงประเด็น
ส่วนประเด็นปัญหาที่นำเสนอสู่สมัชชาประเด็นในปีนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างหรือเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐที่ส่งผลต่อประชาชน แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือบางกรณีมีความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์และความเดือดร้อนของประชาชน เช่น 1.สถานการณ์โควิด-19 2.การจัดการภัยพิบัติ 3.การทบทวน พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท 4.ปัญหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย 5.กลุ่มชาติพันธุ์ 6.ผลกระทบจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) 7.ผลักดันโมเดลเศรษฐกิจใหม่ในรูปแบบเศรษฐกิจเกื้อกูล 8.การผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 9.การคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ควบคุมภาคประชาสังคม 10.การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทบทวนข้อตกลงการค้าเสรี (CPTPP) ฯลฯ
ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ในฐานะภาคประชาสังคม ให้ความเห็นต่อการขับเคลื่อนปัญหาของสภาองค์กรชุมชนเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างว่า ที่ผ่านมาภาคประชาชนถูกกดด้วยอำนาจการรวมศูนย์ตรงกลางที่ค่อนข้างเข้มข้นมาก เช่น การรวมศูนย์ในการจัดการทรัพยากร มีการประกาศเขตป่าเหนือพื้นที่ที่ชุมชนอยู่มาก่อน เป็นการละเมิดสิทธิชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งสิทธิพลเมือง สิทธิชุมชน ทำให้ชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่แบบผิดกฎหมาย เมื่อผิดกฎหมายก็จะถูกจำกัดการพัฒนา งบประมาณและการพัฒนาของหน่วยงานรัฐไม่สามารถเข้าไปดำเนินการในพื้นที่เหล่านี้ได้
นอกจากนี้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย การจัดการทรัพยากร ยังเชื่อมโยงกับสถานการณ์โควิด เพราะเมื่อเกิดปัญหาโควิดทำให้เศรษฐกิจหดตัว โรงงานปิด แรงงานถูกเลิกจ้าง แต่เมื่อแรงงานกลับไปถิ่นฐานในชนบท กลับถูกล็อกพื้นที่ไม่ให้เข้าถึงที่ดินที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย เข้าไม่ถึงฐานทรัพยากรที่สำคัญ ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิต ขณะที่บางคนมีที่ดินในครอบครองกว่า 600,000 ไร่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการปฏิรูปการจัดการที่ดินที่ทำกินที่อยู่อาศัยใหม่ โดยการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม
จุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ ร่วมงานประชุมสภาฯ ระดับชาติเมื่อปี 2563 ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ
“ผมเชื่อว่าเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนมีข้อเสนอที่คมชัดแล้ว แต่ทำอย่างไร ? จะออกแบบการขับเคลื่อนประเด็นปัญหาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมทางสังคมขนาดใหญ่ ให้เป็นวาระร่วมของประชาชน เป็นประเด็นสาธารณะ ให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกับเราด้วย และสิ่งที่สำคัญก็คือการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง และจะต้องติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง” ชัชวาลย์เสนอความเห็น
นี่คือย่างก้าวของการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลประจำปี 2564 ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนำปัญหาและข้อเสนอจากผู้แทนสภาองค์กรชุมชนฯ ทั่วประเทศมาขับเคลื่อน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เป็นสภาของประชาชนอย่างแท้จริง !!
(ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสาร เนื้อหาการประชุมได้ทาง face book สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ และเว็บไซต์ www.codi.or.th )
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |