“จีน” ประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่คำว่ามหาอำนาจอย่างเต็มตัว ด้วยศักยภาพในหลายๆ ด้านของประเทศ และการปกครองที่ยึดหลักความคิดเดียว เพราะเป็นการปกครองแบบพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ใช้กฎเกณฑ์และข้อบังคับที่เข้มงวดในการเดินหน้าพัฒนาประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาแม้คนจะมองว่าเป็นระบบเผด็จการ แต่ปัจจุบันความก้าวหน้าของประเทศจีนก็สะท้อนให้เห็นได้อย่างดี จนขึ้นมาสู่การเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน และมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของโลก
เมื่อจีนเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อในตลาด จึงไม่แปลกใจว่าถ้าจีนมีการกีดกันทางการค้าในบางธุรกิจ หรือออกตัวมาทำตลาดแข่งกับประเทศอื่น ก็จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของระบบเศรษฐกิจได้ และแน่นอนว่ามากกว่า 50% ของทุกประเทศทั่วโลก จำเป็นต้องอาศัยตลาดการค้าจีนเพื่อเป็นการผลักดันเศรษฐกิจอย่างแน่นอน ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีหลายธุรกิจยังต้องพึ่งพาการทำการค้ากับจีนทั้งในบทบาทของผู้ซื้อและผู้ขาย อย่างเช่นในตลาดของอุตสาหกรรมภาคการเกษตร
ตลาดผลไม้ของไทย แม้ว่าจะพึ่งพาการซื้อขายภายในประเทศได้บ้าง แต่ก็เป็นสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับการส่งออก และในช่วงที่ผ่านมาเองกลุ่มเกษตรกรไทยก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี แต่เมื่อสามารถทำการส่งออกได้แล้ว ก็กำลังจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานจีนได้ออกมาระงับโรงคัดบรรจุและสวนลำไยที่ตรวจพบเพลี้ยแป้งในประเทศไทย จนทำให้ผู้ประกอบการโรงงานหลายสิบแห่งไม่สามารถทำการส่งออกไปได้
แต่ดีที่ประเทศไทยเองยังเป็นประเทศที่จีนไม่ได้ขึ้นแบล็กลิสต์และทำการกีดกันทางการค้าเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะยังถือว่าเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีในหลายๆ ด้าน จนล่าสุดจากการรายงานภายใต้การหารือระหว่างทูตเกษตรและทูตพาณิชย์ของไทยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบของจีน ได้ระบุว่าจีนจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ 50 แห่ง จาก 66 แห่ง ที่มีความถี่ในการตรวจพบศัตรูพืชค่อนข้างต่ำสามารถส่งออกลำไยไปจีนได้
และอนุญาตให้โรงคัดบรรจุอีก 6 แห่ง จาก 9 แห่ง ที่ไทยได้ระงับเองเป็นการชั่วคราวเมื่อเดือน มี.ค.2564 มีการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่จีนกำหนด สามารถส่งออกได้เช่นเดียวกัน รวมแล้วจะมีโรงคัดบรรจุ 56 แห่ง ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปจีนในครั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา ส่วนโรงคัดบรรจุที่เหลือ หากมีการปรับปรุงและปฏิบัติตามเงื่อนไขตามที่ฝ่ายจีนเสนอได้ ก็จะอนุญาตให้ส่งออกได้ในระยะต่อไป
ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรของไทย โดย นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมากล่าวว่า จากการอนุญาตให้ไทยกลับมาส่งออกได้หลังจากที่เพิ่งระงับไปเพียงไม่กี่วัน ส่งผลให้การส่งออกลำไยของไทยไปจีนมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะผลผลิตลำไยของไทยมีตลาดรองรับที่แน่นอน ส่งผลดีต่อเกษตรกรที่ขณะนี้กำลังเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น จากการเข้ามารับซื้อของโรงคัดบรรจุและผู้ส่งออก ที่ต้องการนำลำไยไปส่งออกให้กับจีน
โดยมาตรการที่กรมวิชาการเกษตรเสนอทางฝ่ายจีนไปมีสาระสำคัญ ได้แก่ การปรับปรุงการจัดการที่สวนและการเก็บเกี่ยวให้มีการป้องกันกำจัดและคัดแยกลำไยที่มีเพลี้ยแป้งปะปนออก การปรับปรุงการจัดการที่โรงคัดบรรจุ โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ (QC) ทำหน้าที่ในการตรวจสอบศัตรูพืช มีการกำหนดจุดสุ่มตรวจศัตรูพืชเพิ่มขึ้น (รับสินค้า คัดแยก ก่อนรม หลังรม) การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น หลอดไฟส่องสว่างและอุปกรณ์ตรวจสอบศัตรูพืช ติดภาพศัตรูพืชที่ต้องคัดแยกหรือปฏิเสธการรับวัตถุดิบ รวมถึงมีพื้นที่ตรวจสอบศัตรูพืช เป็นต้น
จากเหตุการณ์นี้เห็นได้ว่า นี่แค่ผลไม้ชนิดเดียวที่จีนระงับการนำเข้าจากประเทศไทย ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการในประเทศได้อย่างมากมายแล้ว แต่ยังโชคดีที่ประเทศไทยเองก็มีศักยภาพเพียงพอในการแก้ปัญหาต่างๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาศึกษาแนวทางการควบคุมในระยะต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก เพื่อให้เกษตรกรไทยอุ่นใจได้ว่าผลผลิตที่ออกมาในปีนี้และอนาคตจะไม่เกิดปัญหาวนมาแบบไม่จบไม่สิ้น.
ณัฐวัฒน์ หาญกล้า
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |