คนส่วนใหญ่มุ่งมั่นที่จะเป็นคนดี แต่ก็มีจุดหักเหจากสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู จากการแข่งขันในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องเรียนหรือหน้าที่การงาน ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางความคิด หลายคนถูกเอาเปรียบจากการเป็นคนดี ได้รับผลกระทบจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตนี้ทำดีไปเพื่ออะไร เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ไม่ต้องการชื่อเสียงเงินทอง เป็นคนที่มีความสุขกับการให้อย่างแท้จริง หรือเป็นคนที่ทำดีเพื่อเอาหน้า เพื่อออกสื่อ เพื่อสร้าง Profile ให้ดูดี แม้ว่าจะต้องเสียเงินเพื่อได้มีรายชื่อรับรางวัลต่างๆ ซึ่งมีหลายรางวัลที่ทำกันจนเป็นธุรกิจกอบโกยเงินเป็นกอบเป็นกำโดยไม่ละอายใจ
สภาพสังคมในปัจจุบันที่ข้อมูลหลั่งไหลฉับไวจนไม่สามารถตรวจสอบได้ทัน การใช้ชีวิตที่เร่งรีบและอวดกันบนโลกออนไลน์ ผู้คนหลากหลายที่ประสบความสำเร็จและอีกหลากหลายที่ล้มเหลว อาชีพ Life coach จึงเริ่มเป็นที่พึ่งพิงของคนที่เริ่มจะท้อแท้หรือต้องการพลังในการสู้ต่อ โดยมีหน้าที่หลักในการพาผู้คนฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต เพื่อมีชีวิตตามที่ใฝ่ฝัน หากคุณมีอุปสรรคหรือพบความล้มเหลวด้านครอบครัวหรือความสัมพันธ์ก็ต้องใช้บริการ relationship coach หากต้องการความก้าวหน้าทางธุรกิจหรือการทำงานก็ต้องใช้ business coach, career coach, executive coach เป็นต้น ซึ่งในต่างประเทศโค้ชเหล่านี้จะต้องได้รับการอบรมและมีประกาศนียบัตรรองรับถึงจะประกอบอาชีพด้านนี้ได้ แต่ในประเทศไทยเป็นแค่เซเลบอกหัก มีแฟนคลับก็ Live หาเงินได้แล้ว ไม่มีการเช็กภูมิหลังกันเลย แห่เรียนตามกันไป ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริงถ้าสนใจศึกษาสัจธรรมในแต่ละศาสนาก็น่าจะหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง
คนส่วนใหญ่ขาดที่ยึดเหนี่ยว ห่างไกลศาสนา เมื่อพบอุปสรรคในชีวิตด้านครอบครัวและความสัมพันธ์ การมองด้านลบ การขาดความมั่นใจในตัวเอง การล้มเหลวในชีวิตในด้านต่างๆ ทำให้หาทางออกไม่เจอ เนื่องจากภูมิต้านทานต่ำ จึงไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ ทำให้สถิติของคนเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มสูงขึ้น และจิตแพทย์มีจำนวนไม่พอที่จะรองรับ หลายคนไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ หาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง หากพลังคิดบวกในตัวมีอยู่เยอะก็พอจะประคับประคองไปได้ แต่ถ้ามีแต่พลังลบทั้งตนเองและคนรอบข้างจะทำให้กลายเป็นคนท้อแท้และโดดเดี่ยว ส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจ ยิ่งในสภาพสังคมก้มหน้าหาคนที่จะคุยและสื่อสารด้วยความเข้าใจโดยใช้ทักษะในการสื่อสารแบบเห็นอกเห็นใจกันนั้นหายากยิ่งนัก
สมาชิกในครอบครัวและคนใกล้ชิดควรใส่ใจกันและกันให้มากๆ ด้วยการสนทนา สังเกตภาษากาย การสบตาและการสัมผัสกันให้มากขึ้น ไม่ใช่คุยหรือทักทายกันในไลน์ใช้วิธีส่งสติกเกอร์แต่ไม่เคยได้สนทนากันด้วยคำพูดเลย เหมือนต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว จะคุยกันทางโลกออนไลน์ทำให้ไม่เห็นสีหน้าของคู่สนทนา จับความรู้สึกทางน้ำเสียงและหน้าตาไม่ได้ เป็นการสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพอย่างมาก ที่น่าเป็นห่วงในช่วงนี้คือกลุ่มเด็กที่สอบ TCAS ที่ระบบก็มีปัญหา ความคาดหวังของพ่อแม่ ผู้ปกครองก็ตามมากดดันซ้ำอีก จึงอยากจะให้บทความนี้เป็นการจุดประกายให้สมาชิกในครอบครัว หรือสมาชิกในที่ทำงานหันมาใส่ใจกันให้มากขึ้น ห่างจอให้น้อยลง สังเกตและสัมผัสกันด้วยภาษากายและภาษาใจกันให้มากขึ้น เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม อย่าให้เทคโนโลยีมาทำให้ความสัมพันธ์และพลังในการสื่อสารของเราลดน้อยลง เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังมีปัญหาฟันฝ่าไปให้ได้นะคะ.
จิตติมา กุลประเสริฐรัตน์
([email protected])
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |