สิงคโปร์ประกาศวันก่อนว่า ประชากรกว่า 80% ของเขาได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
รัฐมนตรีสาธารณสุข Ong Ye Kung ขึ้นเฟซบุ๊กของตัวเองว่า “เราได้ข้ามหลักไมล์ที่สำคัญคือ 80% ของคนสิงคโปร์ได้วัคซีนครบ 2 โดสแล้ว...”
สำนักข่าวรอยเตอร์บอกว่า เกาะแห่งนี้ที่มีประชากร 5.7 ล้านคน กลายเป็นประเทศที่ประชาชนได้ฉีดวัคซีนในสัดส่วนสูงสุดของโลก
วันที่ข่าวนี้ออกมาคือวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตรงกับวันที่มีกิจกรรมฉลองวันชาติปีนี้
ความจริงวันชาติของสิงคโปร์คือ 9 สิงหาคม แต่ปีนี้เพราะโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนการเฉลิมฉลองมาวันที่ 29 สิงหาคม
พร้อมกับคำประกาศจากนายกฯ หลี่เสียนหลง ว่ายุทธศาสตร์ของสิงคโปร์ ณ จุดนี้คือการ “อยู่ร่วมกับโควิด” ให้ได้
เหมือนที่นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขียนในเฟซบุ๊กว่าทิศทางเรื่องโควิดของรัฐบาลคือ Smart Prevent & Living with Covid
ใครลอกใครไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือสิงคโปร์เขาประกาศว่าเตรียมจะทำให้สามารถมีกิจกรรม Countdown ช่วงปีใหม่ปีนี้ให้ได้
ถือเป็นการวางเป้าหมายที่กล้าหาญและท้าทาย
ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่ว่าจากนี้ไปนโยบายเรื่อง “อยู่กับโควิด” จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
สิงคโปร์ใช้ Pfizer และ Moderna เป็นวัคซีนให้ประชาชนของตนเป็นหลัก
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการส่ง “หน่วยเคลื่อนที่” ไปฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในชุมชนต่างๆ สำหรับคนสูงอายุและผู้อยู่อาศัยตามชานเมืองที่ไม่สะดวกที่จะเข้ามาฉีดวัคซีนกลางเมือง
(กทม.ของเราก็เพิ่งประกาศว่าจะมีหน่วยแบบนี้เหมือนกัน เรียกว่า Bangkok Mobile Vaccination Unit หรือ BMV แต่ยังไม่แน่ว่าจะทำได้กว้างขวางเพียงใด)
ทำให้เขาสามารถลดกรอบเวลาที่วางไว้เดิม 8 สัปดาห์ หรือเพียง 4 สัปดาห์
นั่นคือการเร่งรัดให้ประชาชนได้ภูมิคุ้มกันโควิดได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เพราะเจ้าสายพันธุ์ Delta พร้อมที่จะโจมตีคนเปราะบางได้ตลอดเวลาด้วยอิทธิฤทธิ์ที่สูงกว่าสายพันธุ์เดิม หรือ Alpha อย่างไม่ลังเล
ยอดคนติดเชื้อสะสมของสิงคโปร์ถึงวันนี้อยู่ที่กว่า 67,300 ราย และเสียชีวิตสะสม 55 ราย
แต่ละวันจำนวนคนติดเชื้อใหม่อยู่ที่ 130 บวกลบ
เป้าหมายหลักของรัฐบาลสิงคโปร์คือการที่สามารถจะทำให้เศรษฐกิจกลับมา แม้จะไม่เต็มรูปแบบ แต่ก็ต้องพยายามผลักดันให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สำคัญกลับมาทำงานให้ได้อีก
นายกฯ หลี่เสียนหลงอ้างว่าวิกฤตครั้งนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ประเทศนี้ได้เอกราชมาเมื่อ 56 ปีก่อน
เขาบอกว่าวันนี้สิงคโปร์รอดจากวิกฤตครั้งนี้แล้ว
“และวันนี้เราจะต้องเปลี่ยนเกียร์...เพียงแค่เอาเงินสำรองของประเทศมาใช้เพื่อประคับประคองประเทศเท่านั้นไม่พอแล้ว เราต้องสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ต้องสร้างงานและความรุ่งเรืองสำหรับอนาคต...”
ไม่ใช่เพียงแค่ประกาศเป็นวาทกรรมเท่านั้น ผู้นำสิงคโปร์ยังตั้งเป้าหมายไว้ด้วยว่า หากจะทำให้การเติบโตของประเทศมีความยั่งยืนก็ต้องทำ 3 เรื่องนี้ให้ชัดเจน
1.ปกปักรักษาสถานะของสิงคโปร์ในฐานะเป็น “ศูนย์กลางธุรกิจ” ให้จงได้
2.ทำทุกอย่างเพื่อให้สิงคโปร์ยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
3.สนับสนุนบริษัทและธุรกิจของสิงคโปร์ให้สามารถเป็นกำลังสำคัญของ “เศรษฐกิจใหม่”
นี่คือการวางแนวทางของประเทศไว้ให้ทุกภาคส่วนได้รับรู้ว่าทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการ “สร้างชาติใหม่” หลังโควิด
เมื่อตั้งเป้า 3 ประการนี้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว ก็ต้องตามมาด้วย “แผนปฏิบัติการ” ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
และในแผนนั้นจะต้องกำหนดไว้ชัดเจนว่าใครจะต้องทำอะไรเพื่อบรรลุเป้าหมาย
ต้องแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
ต้องสร้างคนที่มีคุณภาพให้ผลักดันกิจกรรมทั้งหลายให้สำเร็จ
ต้องจัดสรรหางบประมาณที่จะทำให้การดำเนินการเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง
และต้องสร้างสิ่งแวดล้อม หรือ eco-system ที่เอื้อต่อการทำงานแบบ New Normal อย่างแท้จริง
คงไม่ต้องบอกว่าไทยเรายังไม่เห็นภาพของ “แผนสร้างชาติใหม่หลังโควิด”
เพราะยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเฉพาะหน้า
ยังขาดภาวะผู้นำในการบริหารวิกฤต
และยังไม่รู้ว่า “ใครต้องทำอะไร” เพื่อวางยุทธศาสตร์ของชาติอย่างแท้จริง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |